เรียนรู้วิธีออกจากทุกข์ในชีวิตประจำวัน
แม่ชีสุภาพรรณ กลิ่นนาค
บทนำ
เป็นคำถามอยู่ในใจมนุษย์เสมอว่า
“ทุกข์มีลักษณะเป็นอย่างไร” และ “จะแก้ปัญหาทุกข์ทางร่างกายและทางจิตใจอย่างไร”
จึงเป็นความพยายามอย่างมากของมนุษย์ หรือจะกล่าวได้ว่า
เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์เมื่อใด เมื่อนั่นย่อมหนีไม่พ้นสิ่งที่เรี่ยกว่า “ทุกข์” เมื่อพิจารณาว่ามนุษย์ทุกคนจะประกอบด้วยร่างกายและจิตใจ
ดังนั้นในการพัฒนาเพื่อความเจริญอย่างยั่งยืนควรประกอบด้วยการพัฒนาไปทั้ง 2 ด้าน
คือ ทั้งทางด้านวัตถุและทางด้านคุณธรรมไปพร้อม ๆ กัน การพัฒนาเพียงด้านใดด้านหนึ่งทำให้ขาดความสมดุล ถ้ามีความโน้มเอียงไปด้านใดด้านหนึ่งมากเกินไป
ย่อมเกิดปัญหาตามมา
การพัฒนาในยุคโลกาภิวัฒน์ที่ผ่านมาเน้นการพัฒนาด้านวัตถุคือความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่
ซึ่งมีการพัฒนาเจริญก้าวหน้าจนมีการจัดทัวร์ให้เราขึ้นยานอวกาศไปเที่ยวนอกโลกได้
แต่ในทางกลับกันการส่งเสริมให้มีการพัฒนาทางด้านคุณธรรมในจิตใจมีน้อยมาก
จนไม่ทันกับการพัฒนาทางด้านวัตถุ เกิดความไม่สมดุลในการดำรงชีวิต
จะเห็นได้ว่าในยุคโลกาภิวัฒน์ได้เกิดลัทธิใหม่ขึ้นที่เรารู้จักกันคือลัทธิบริโภคนิยม
ส่งเสริมให้มีการบริโภคอย่างละโมบ มนุษย์ต้องดิ้นรนหาปัจจัยต่าง ๆ
เพื่อไปบำรุงบำเรอให้ได้มาซึ่งเทคโนโลยี่ต่าง ๆ ซึ่งให้ความสะดวกสบายแก่เรา
แต่ในขณะเดียวกันทำให้คนอยู่อย่างเป็นทาสของการบริโภคนิยม ความต้องการใหม่ ๆ
ตามกระแสก่อให้เกิดกิเลสตัณหาใหม่ ๆ ไม่สิ้นสุด ซึ่งนำมาซึ่งทุกข์ในรูปแบบใหม่ ๆ
ให้เกิดขึ้น
ถึงกระนั้นก็ตามโลกต้องมีการวิวัฒนาการเพื่อการพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
ในยุคปัจจุบันแม้ว่าจะมีการพัฒนาด้านปัญญาแต่เป็นการพัฒนาอย่างผิวเผิน
โดยเน้นการพัฒนาที่เรียกว่าโลกียปัญญาเพียงด้านเดียว
แต่ขาดการพัฒนาด้านคุณธรรมเป็นโลกุตตรปัญญา ซึ่งส่งผลให้เกิดปัญหาทางด้านลบต่อสิงแวดล้อม
นิเวศวิทยา เศรษฐกิจและสังคม รวมถึงขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้[1]
ยิ่งไปกว่านั้นจากการศึกษาพบว่ายุคนี้เป็นยุคที่มนุษย์มีปัญหาด้านจิตใจอย่างหนัก
สังคมที่ความสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ทำให้ทุกคนอยู่แบบหวาดระแวงกันและกัน
แก่งแย่งแข่งขันกันหนัก ทั้งการอยู่การกิน การศึกษา การหางานทำ
ความเอื้ออาทรต่อกันมีน้อยลงมนุษย์ส่วนใหญ่อยู่แบบตัวใครตัวมัน
ผู้ที่อ่อนแอกว่าจะเป็นผู้เสียผลประโยชน์ เกิดสงครามลุกลามไปทั่วโลก
ระหว่างผู้มีอำนาจที่มีความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี่ต้องการครองโลก
เพื่อแย่งชิงผู้ที่มีทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์ แต่ด้อยทางเทคโนโลยี่ มีคนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก
เกิดปัญหาสังคมทำให้คนจำนวนมากมีปัญหาสุขภาพจิต เช่นซึมเศร้า หวาดกลัว เครียด
กังวล นอนไม่หลับ จิตเภท และจนกระทั่งถึงการฆ่าตัวตาย สืบเนื่องจากการพัฒนาที่ไม่คลอบคลุมในด้านคุณธรรม
ส่งผลให้เกิดปัญหาด้านสังคม สิ่งแวดล้อม และด้านจิตใจ
ฉะนั้นพระพุทธศาสนาอุบัติมาเพื่อมาแก้ไขปัญหาดังกล่าวข้างต้น
เพื่อให้มนุษย์มีวิธีการในการเลือกว่าจะอยู่กับทุกข์ หรือจะออกจากทุกข์
โดยนำหลักที่จะออกจากทุกข์นั้นมาเปิดเผยสู่ชาวโลกไม่ว่าชาติหรือภาษาใดก็ตามย่อมสามารถเข้าถึงได้ด้วยแนวทางที่เรี่ยกว่า
ศีล สมาธิ ปัญญา
ซึ่งเป็นทางที่จะทำให้พ้นทุกข์ตามลำดับขั้นจนถึงความพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง
ฉะนั้นพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งการกระทำ
เป็นศาสนาแห่งความเพียรพยายาม มิใช่เป็นศาสนาแห่งการอ้อนวอนปรารถนาหรือศาสนาแห่งความห่วงหวังกังวล
หลักคำสอนของพระพุทธเจ้าทรงมุ่งผลในการปฏิบัติ
ให้ทุกท่านสามารถจัดการกับชีวิตที่เป็นอยู่จริง ๆ ในโลกนี้
และสามารถเริ่มตั้งแต่บัตินี้[2]
เรียนรู้วิธีออกจากทุกข์ในชีวิตประจำวัน ที่เรี่ยกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา
เป็นแนวทางในการดำเนินประพฤติตามมรรค
เป็นสิ่งที่ทุกท่านไม่ว่าจะอยู่ในสภาพและระดับชีวิตอย่างใด
สามารถเข้าใจและนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ตามสมควรแก่สภาพและระดับชีวิตนั้น ๆ
หากความห่วงใยในเรื่องชีวิตหลังจากโลกนี้มีอยู่ ก็จงทำชีวิตอันดีงามอย่างที่ต้องการนั้นให้เกิดมีเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาด้วยการประพฤติปฏิบัติตั้งแต่บัดนี้ หรือจนมั่นใจตนเองว่าจะต้องไปดีโดยไม่ต้องกังวลหรือหวาดหวั่นต่อโลกหน้านั้นเลย
เพราะทุกท่านย่อมมีสิทธิเท่าเที่ยมกันโดยธรรมชาติที่จะเข้าถึงความพ้นทุกข์
แม้ว่าความสามารถของแต่ละท่านจะแตกต่างกันก็ตาม
ทุกท่านย่อมได้รับโอกาสเท่าเทียมกันอันจะสร้างผลสำเร็จตามความสามารถของแต่ละท่าน
และความสามารถนั้น ย่อมเป็นสิ่งดักแปลงเพื่มพูนได้
จึงสมควรทุกท่านได้มีโอกาสที่จะพัฒนาความสามารถของตนเองอย่างดีที่สุด หรือแม้ว่าผลสำเร็จที่แท้จริงของทุกท่านจะต้องทำด้วยตนเอง
โดยตระหนักในการรับผิดชอบของตนอย่างเต็มที่
แต่ทุกท่านย่อมมีอุปกรณ์ในการปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา
ดังนั้นแนวทางดังกล่าวจึงเป็นแนวทางที่เด่นเพื่อให้มนุษย์มีหลักในการที่จะพ้นทุกข์
ดังนั้นในฐานะความรับผิดชอบต่อตนเอง หลักธรรมในพระพุทธศาสนาจึงเป็นแนวทางที่สำคัญที่จะนำมาแก้ไขปัญหาให้มนุษย์มีทางออกและสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
ดังนั้น
การเรียนรู้ทุกข์ในชีวิตประจำวัน จึงต้องทำความเข้าใจเรื่องทุกข์ 12 อย่าง คือ
1.ชาติ หมายถึง ความเกิด ความบังเกิด
ความหยั่งลงเกิด เกิดจำเพาะ ความปรากฏแห่งขันธ์ ความได้อายตนะครบ ในหมู่สัตว์นั้น
ๆ ของเหล่าสัตว์นั้น ๆ ความเกิดเป็นทุกข์เพราะเป็นที่ตั้งแห่งทุกข์ต่าง ๆ
โดยจำแนกรายละเอียดได้ดังนี้
1) คัพโภกกันคิมูลกทุกข์ ทุกข์ของมนุษย์และสัตว์ที่เกิดอยู่ในครรภ์มารดา
ต้องทนอยู่ในที่มืดและแคบภายในท้องของมารดา ขยับตัวได้ยาก
อีกทั้งยังมีกลิ่นเหม็นภายในร่างกายเป็นเวลานานถึง 10 เดือน
2) คัพภปริหรณมูลกทุกข์ ทุกข์เพราะรักษาครรภ์
ในขณะที่มนุษย์และสัตว์ที่อยู่ในครรภ์มารดา
ต้องได้รับทุกข์จากอิริยาบทในชีวิตประจำวันของมารดาเช่น การเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว เช่นเดินเร็ว ผุดลุกในทันที
หรือการกินอาหารที่มีรสจัด
3) คัพภวิปัคคิมูลกทุกข์ ทุกข์เพราะเกิดจากการวิบัติของครรภ์ เช่น
ทุกข์ที่มนุษย์และสัตว์ที่อยู่ในครรภ์มารดานานกว่ากำหนด หรือคลอดก่อนกำหนด หรือการคลอดที่ไม่ปรกติ ทำให้ทารกต้องได้รับการทรมานจนบางครั้งถึงเสียชีวิตได้
4) วิชายนมูลกทุกข์ ทุกข์เพราะการคลอด
เมื่อถึงกำหนดที่มนุษย์และสัตว์ที่อยู่ในครรภ์จะต้องคลอดออกมา ต้องถูกกระทุ้งกระแทกพลิกหัน มดลูกจะบีบให้ทารกออกไปสู่ช่องคลอดซึ่งเป็นช่องเล็ก
ๆ ทารกก็จะได้รับทุกข์ทรมาน
5) พหินิกขมนมูลกทุกข์ ทุกข์เพราะออกจากท้องมารดา เด็กแรกคลอดมีร่างกายและผิวละเอียดอ่อน
การถูกสัมผัสด้วยสิ่งที่หยาบเช่น การถูกอาบน้ำชำระความสะอาด การเช็ดตัวด้วยผ้าที่เป็นของหยาบ ทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บปวดรุนแรงได้
6) อัตตุปักกมมูลกทุกข์
ทุกข์ที่เกิดจากทำตัวเอง เช่น ทำร้ายตัวเอง ทรมานตนเอง หรือฆ่าตัวตาย
7) ปรุปักกมมูลกทุกข์ ทุกข์ที่เกิดจากคนอื่นทำ เช่นการถูกติฉินนินทาว่าร้าย
การถูกเบียดเบียนเอารัดเอาเปรียบ การประทุษร้ายต่อร่างกายทำให้บาดเจ็บ
หรือการถูกฆาตกรรม
2.ชรา หมายถึง ความแก่ ภาวะของความแก่ ฟันหลุด ผมหงอก หนังย่นเป็นเกลียว
ความเสื่อมแห่งอายุ ความแก่หง่อมแห่งอินทรีย์ ในหมู่สัตว์นั้น ๆ ของเหล่าสัตว์นั้น
ๆ
3. มรณะ หมายถึง ความเคลื่อน ภาวะของความเคลื่อน ความแตกทำลาย ความหายไป
มฤตยู ความตาย ความทำกาละ ความทำลายแห่งขันธ์
ยามสิ้นชีพ
จะเห็นนิมิตของบาปกรรมที่เคยทำชั่วไว้
ต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รัก
ส่วนประกอบทางร่างกายจะหยุดทำหน้าที่
ทุกข์ทางกายมีมาก
แต่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้
4. โสกะ หมายถึง ความเศร้าโศก
ความแห้งใจ กิริยาที่แห้งใจ ภาวะที่แห้งผาก ณ ภายใน
เกิดเมื่อถูกธรรมคือทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบ
5. ปริเทวะ หมายถึง ความคร่ำครวญ ความร่ำไรรำพัน กิริยาที่คร่ำครวญ
กิริยาที่ร่ำไรรำพัน
ความอาลัยถึงบุคคลหรือสิ่งของที่รัก
เป็นกิริยาต่อเนิ่องจากวามโศก
6. ทุกข์ (กาย) หมายถึง
ความทุกข์กาย เช่นเจ็บป่วย บาดเจ็บ
การถูกบีบคั้น ความไม่สำราญทางกาย
7.โทมนัส หมายถึง
ความทุกข์ทางใจ เช่น เจ็บปวดรวดร้าวใจ
ความไม่สำราญทางจิต ความเสวยอารมณ์อันไม่ดี
ที่เป็นทุกข์เกิดแต่ มโนสัมผัส
8. อุปายาส หมายถึง ความคับแค้น สิ้นหวัง
ภาวะของบุคคลผู้แค้น ภาวะของบุคคลผู้คับแค้น
บุคคลผู้ประกอบด้วยความพิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้ถูกธรรมคือ ทุกข์
อย่างใดอย่างหนึ่ง กระทบแล้ว
9. อัปปิยสัมปโยค หมายถึง
ความประสบกับคนหรือสิ่งไม่เป็นที่รัก เช่นต้องประสบหรือเกี่ยวข้องกับคนที่ไม่ชอบหรือชิงชัง
10. ปิยวิปโยคหมายถึงความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก เช่น
ญาติ คนรัก หรือสูญเสียทรัพย์สิน
11. อนิจฉิตาลาภะ หมายถึง การไม่ได้สิ่งที่ปรารถนา ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น
12. อุปาทานขันธ์หมายถึง ขันธ์ทั้ง 5 เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน ทุกข์ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นทุกข์ของอุปาทานขันธ์
5 โดยสรุปคือ อุปาทานขันธ์ 5 เป็นทุกข์[1]
ทุกข์ 12 นี้เป็นทุกข์ที่ให้ความหมายไว้ในอริยสัจ 4 ลักษณะการแจกแจงทุกข์จะ
ละเอียดกว่าในทุกข์ 10 โดยเฉพาะในเรื่องทุกข์จากการเกิด มีแจกแจงหัวข้อย่อยไว้ถึง 7 หัวข้อ อย่างไรก็ตามในทุกข์ข้อสุดท้ายได้สรุปไว้เช่นเดียวกับในทุกข์ 10 คือ ทุกข์ทั้งปวงล้วนเกิดจากสาเหตุเดียวกันคือการยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 นั่นเอง
[1]น้ำนิตย์
ตันติศิริวัฒน์, การบรรเทาทุกข์ตามแนวสติปัฏฐาน 4, วิทยานิพนธ์ศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย :
มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย), 2557, หน้า 2.
[2]พระธรรมปิฏก (ป.อ.ปยุตฺโต), “พุทธธรรมฉบับปรับปรุงและขยายความ”, พิมพ์ครั้งที่ 11, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2546), หน้า 6.