วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2557

พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร
            แม่ชีสุภาพรรณ กลิ่นนาค

                พระพุทธเจ้าตรัสว่าการตรัสรู้ธรรม การบรรลุคุณวิเศษ และความสำเร็จทั้งหมดของพระองค์ ล้วนได้มาจากความเพียรและสติปัญญาของมนุษย์ทั้งสิ้น มีเพียงมนุษย์ และมนุษย์เท่านั้น ที่อาจเป็นพระพุทธเจ้าได้ มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพในการเป็นพระพุทธเจ้า หากมนุษย์มีความมุงมั่น และมีความเพียรพยายาม ดังนั้นพระพุทธศาสนาถือว่าสถานะของมนุษย์นั้นสูงสุด เพราะมนุษย์เป็นนายเหนือตนเอง ไม่มีอำนาจใดสูงส่งก่วาจะมากำหนดชะตาชีวิตมนุษย์ได้ ดังนั้นการตรัสรู้ของพระองค์นั้นทรงรู้ในเรื่องของชีวิตที่เรี่ยกว่า “ขันธ์ 5” หรือเรียกทางธรรมว่า “เบญจขันธ์” ดังมีองค์ประกอบดังนี้
1. รูปขันธ์ กองรูป หมายรวมเอาธาตุทั้งหลาย คือ มหาภูตรูป 4 ได้แก่ ดิน น้ำ ไฟ ลม และอุปาทายรูป อันเป็นรูปที่อาศัยเกิดจากมหาภูตรูปทั้ง 4 นั้นด้วยอุปาทายรูป ที่อาศัยมหาภูตรูป 4 เกิดขึ้นนั้น ประกอบด้วยปัญจปสาทรูป ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น และกาย และอารมณ์ที่มากระทบจากภายนอก คู่กับปสาทรูปเหล่านั้นคือ รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส ตลอดถึงความคิด ทรรศนะ และเจตนคติต่าง ๆ อันเป็นวิสัยแห่งอารมณ์ทางใจ ดังนั้น อาณาจักรแห่งวัตถุธาตุทั้งปวงทั้งที่เป็นภายในและภายนอก ย่อมรวมอยู่ในรูปขันธ์ทั้งสิ้น
2. เวทนาขันธ์ กองเวทนา ขันธ์กลุ่มนี้รวมเอาเวทนาทั้งหลายของเราที่เป็น สุข ทุกข์ หรืออุเบกขา ชึ่งเราทราบได้จากสัมผัสกันทางกายและทางใจกับอารมณ์ภายนอก เวทนาเหล่านี้มี 6 ชนิดด้วยกันคือ เวทนาที่รับรู้ได้จากการสัมผัสระหว่างตากับรูป หูกับเสียง จมูกกับกลิ่น ลิ้นกับรส กายกับวัตถุที่สัมผัสได้ และใจกับธรรมารมณ์ หรือความคิดความเห็นต่าง ๆ ความรู้สึกทั้งทางกายและทางใจของเรารวมอยู่ในขันธ์กลุ่มนี้
3. สัญญาขันธ์ กองสัญญา ซึ่งสัญญามี 6 ชนิดและมีความสัมพันธ์ระหว่างอายตนะภายในทั้ง 6 และอารมณ์ภายนอกทั้ง 6 อย่างที่ตรงกัน และเช่นเดียวกันกับเวทนา เพราะสัญญาย่อมเกิดขึ้นได้โดยอาศัยผัสสะระหว่างอายตนะภายในและอารมณ์ภายนอก ตัวสัญญาขันธ์นี้แหละเป็นสภาวะที่จำอารมณ์ทั้งหลาย ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมทั้งสิ้น
4. สังขารขันธ์ กองสังขาร ขันธ์กลุ่มนี้รวมถึงพฤติกรรมทางใจที่ประกอบด้วยเจตนาทั้งหมด ในส่วนที่เป็นกุศล และในส่วนที่เป็นอกุศล และสิ่งที่เรียกกันว่า “กรรม” นั้นรวมอยู่ในขันธ์นี้นี่เอง ดังพระพุทธองค์ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าเจตนานี้แหละ คือ กรรม” เมื่อมีเจตนา มนุษย์ย่อมทำกรรมทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ ตัวเจตนาเป็นการปรุงพฤติกรรมทางใจ มีหน้าที่กำหนดจิตใจห้เป็นไปในทางกุศล อกุศล และกลาง ๆ เหมือนกันกับเวทนาและสัญญา สังขารขันธ์ย่อมมี 6 อย่าง ตามความสันพันธ์ระหว่างอายตนะภายใน 6 และอารมณ์ภายนอก 6 ทั้งฝ่ายรูปธรรม และนามธรรม เฉพาะเจตสิกที่เป็นสังขารเกี่ยวเนื่องด้วยเจตนา คือ ศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ สมาธิ ปัญญา วิริยะ ราคะ ปฏิฆะ อวิชชา มานะ เป็นต้น อันเป็นปัจจัยให้เกิดกรรมได้ ล้วนประกอบขึ้นเป็นสังขารขันธ์ทั้งสิ้น
5. วิญญาณ กองวิญญาณ คือการรู้แจ้งอารมณ์ หรือเป็นปฏิกิริยาตอบสนองซึ่งอาศัยอายตนะภายในทั้ง 6 เป็นปทัฏฐาน ร่วมกับอายตนะภายนอกที่คู่กันอย่างใดอย่างหนึ่งป็นอารมณ์ เช่น จักขุวิญญาณมีตาเป็นแดนเกิด และมีรูปที่เห็นได้เป็นอารมณ์ มโนวิญญาณมีใจเป็นแดนเกิด และมีธรรมรมณ์ คือทรรศนะหรือความคิดเป็นอารมณ์ และวิญญาณขันธ์จึงสัมพันธ์กันกับอายตนะ เช่นเดียวกันกับเวทนา สัญญา และสังขาร วิญญาณขันธ์จึงมี 6 ชนิดตามประเภทแห่งอายตนะภานใน 6 และอายตนะภานนอก 6 ที่คู่กันทั้งสิ้น ดังนั้นวิญญาณย่อมอาศัยเหตุปัจจัย วิญญาณที่เกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุปัจจัยหามีไม่ และพระพุทธองค์ทรงแสดงว่า วิญญาณย่อมอาศัยรูป เวทนา สัญญา และสังขาร ทั้งไม่อาจตั้งอยู่ได้โดยเป็นเอกเทศจากขันธ์เหล่านั้น “วิญญาณอาจตั้งขึ้นโดยอาศัยรูปเป็นอุบาย (รูปุปายํ) อาศัยรูปเป็นอารมณ์ (รูปารมฺมณํ) อาศัยรูปเป็นเครื่องดำรงอยู่ (รูปปฏฺตํ) เมื่อแสวงหาอยู่ซึ่งอารมณ์เครื่องยินดี ย่อมเติบโต เพิ่มพูน และไพบูลย์ยิ่งขึ้น วิญญาณอาจเกิดขึ้นโดยอาศัยเวทนาเป็นอุบาย...อาศัยสัญญาเป็นอุบาย...อาศัยสังขารเป็นอุบาย อาศัยสังขารเป็นอารมณ์ อาศัยสังขารเป็นเครี่องดำรงอยู่ เมื่อแสวงหาอยู่ซึ่งอารมณ์เคื่องยินดี ย่อมเติบโต เพิ่มพูน และไพบูลย์ยิ่งขึ้น” และสิ่งที่เราเรียกกันว่า “สัตว์” “บุคคล” หรือ “ตัวเรา” นั้นเป็นเพียงชื่อหรือแผ่นป้าย เพื่อความสะดวกในการเรียกของขันธ์ทั้ง 5 เท่านั้น สิ่งเหล่านี้ทั้งมวดล้วนไม่เทียงและมีความแปรแปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา “สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์” นี้เป็นการตรัสรู้จริงของพระพุทธเจ้า ดังนั้น ขันธ์ทั้ง 5 จึงเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นนี้เป็นทุกข์ และในสิ่งที่เรียกว่ากระแสแห่งปัจจยาการ สิ่งหนึ่งดับไปย่อมปรุงแต่งการเกิดขึ้นของอีกสิ่งหนึ่ง ไม่มีมวลสารใดมั่นคงถาวร ไม่มีสิ่งใดแฝงอยู่เบื่องหลังที่อาจเรียกว่าเป็นอาตมันหรือตัวตนอย่างถาวร หรือสิ่งใดที่อาจเรียกได้โดยความเป็นจริงว่า “ตัวเรา” ทุกท่านคงเห็นพ้องตรงกันว่า ไม่ว่าจะเป็นรูป เวทนา สัญญา  สังขาร หรือความคิดนึกใด ๆ หรือแม้แต่วิญญาณ ก็ไม่อาจเรียกว่า “ตัวเรา” เมื่อเบ็ญจขันธ์ที่ประกอบด้วยรูปธรรมและนามธรรมเหล่านี้แต่ละส่วน ต่างรวมตัวกันขึ้นและทำหน้าที่ร่วมกัน เป็นเครื่องจักรแห่งกายและใจเท่านั้น และไม่ควรคิดว่าเป็น “ตัวเรา” เพราะจะทำให้เกิดความเห็นผิดว่ามีตัวตน (สกฺกายทิฏฺ) ดังนั้น “เมื่อใดเรารู้ซึ่งอุปาทานขันธ์ 5 เหล่านี้ โดยเวียนรอบ 4 ตามความเป็นจริง เมื่อนั้นเราจึงปฏิญาณว่า เป็นผู้ตรัสรู้ชอบยิ่ง ซึ่งสัมมาสัมโพธิญาณอันยอดเยี่อม” จะเห็นได้ว่าขันธ์ทั้ง 5 จึงเป็นอารมณ์ของอุปาทาน ซึ่งปรากฏในอริยสัจข้อที่ 1 และทรงสรุปลงว่าอุปาทานขันธ์ 5 เป็นทุกข์ ว่า
“ภิกษุทั้งหลาย นี้คือ ทุกขอริยสัจ ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ ความประจวบกับที่ไม่เป็นที่รักเป็นทุกข์”(วิ.ม.4/14/18)

และพระพุทธองค์ตรัสว่า สิ่งที่ควรรู้คือคำว่า “ขันธ์” และ “อุปาทานขันธ์” ซึ่งควรพิจารณาตามพุทธพจน์ดังนี้
                “ภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงขันธ์ 5 และอุปาทานขันธ์ 5 เธอทั้งหลายจงฟัง”
                ขันธ์ 5 เป็นไฉน? รูป...เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ อันใดอันหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน เป็นภานในก็ตาม เป็นภายนอกก็ตาม หยาบก็ตาม ละเอียดก็ตาม ทรามก็ตาม ประณีตก็ตาม ไกลก็ตาม หรือใก้ลก็ตาม...เหล่านี้ เรียกว่าขันธ์ 5”
                “อุปาทานขันธ์ 5 เป็นไฉน ? รูป...เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ อันใดอันหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน เป็นภานในก็ตาม เป็นภายนอกก็ตาม หยาบก็ตาม ละเอียดก็ตาม ทรามก็ตาม ประณีตก็ตาม ไกลก็ตาม หรือใกล้ก็ตามที่ประกอบด้วยอาสวะ เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน...เหล่านี้ เรียกว่า อุปาทานขันธ์ 5”(สํ.ข.17/95-96/58-60)
                “ภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมทั้งหลายซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน และตัวอุปาทาน เธอทั้งหลายจงฟัง”
                “รูป...เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ คือธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน ฉันทราคะ (ความชอบใจจนติด หรืออยากอย่างแรงจนยึดติด) ใน รูป...เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ นั้นคือ อุปาทานในสิ่งนั้น ๆ”(สํ.ข.17/309/202)

                ดังนั้น สิ่งที่ทำให้ เกิดความรู้สึกที่เป็นอุปาทาน ว่าตัวเราผู้อยากเสียก่อน มันจึงจะมีภพ คือการปรุงขึ้นแห่งตัวตน แล้วก็มีชาติเป็นตัวตนที่สมบูรณ์ สำหรับจะได้เกิดความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งเหล่านั้นว่าความเกิดของเรา ความแก่ของเรา ความเจ็บของเรา ความตายของเรา โสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาสของเรา การตรัสรู้ว่าอะไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ใจความสำคัญที่อยู่ใกล้ชิดที่สุด มีน้ำหนักมากที่สุด ก็คือความยึดมั่นถือมั่นนั่นเอง ดังนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสว่าสังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา เมื่อกล่าวโดยสรุปย่อที่สุดแล้ว และมันเป็นทุกข์เพราะยึดถือ ถ้าไม่ยึดถือมันก็ไม่เป็นทุกข์ จิตที่มีความยึดถือเป็นตัวกูของกูในสิ่งใดก็ตามมันก็ต้องเป็นทุกข์สิ่งที่จะถูกยึดถือนั้นก็คือขันธ์ 5 นั้นเอง
เห็นทุกทีว่า ความทุกข์กรณีนี้ มันเกิดมาจากยึดมั่นในขันธ์ไหน ในขันธ์ทั้งห้านั้น มันกำลังไปยึดมั่นในขันธ์ไหน แล้วก็จะพบว่า มันเกิดมาจากความยึดมั่นในขันธ์นั้น ซึ่งมันจะตรงตามหลักพระพุทธภาษิตว่า สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานนักขันธา ทุกขา ขันธ์ที่มีความยึดมั่นถือมั่นโดยอุปาทานนั้นแหละเป็นตัวทุกข์ เมื่อมีความทุกข์แล้ว มันก็ต้องมีความยึดมั่นถือมั่น เมื่อมีความยึดมั่นถือมั่นแล้ว มันต้องมีสิ่งซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นถือมั่น มันก็ไม่พ้นไปจาก 5 สิ่งนี้ คือ รูป เวทนา สังขาร สัญญา สังขาร วิญญาณ นั้นเอง
แต่ว่า 5 อย่างนี้ 5 ขันธ์นี้ จะแจกลูกออกเป็นกี่สิบอย่าง กี่ร้อยอย่างก็ได้ เช่น เวทนานี้มาจากอะไร สัญญานี้ตั้งอยู่บนวัตถุอะไร สังขารนี้คิดนึกเรื่องอะไร มันได้หลายสิบอย่าง หลายร้อยอย่าง หลายพันอย่าง ถ้ามีความยึดมั่นในสิ่งใดเป็นทุกข์อยู่ เราก็ดูว่ามันเป็นอะไร แล้วสิ่งนั้นมันจะสงเคราะห์ลงในขันธ์ไหน คือในรูปขันธ์ หรือเวทนาขันธ์ หรือสัญญาขันธ์ หรือสังขารขันธ์ นี่ที่พูดมานี้ อย่าเพิ่งสับสน ถ้าเราจะพูดโดยนัยแห่งอริยสัจจ์ ก็ว่าตัณหาเป็นเหตุให้เป็นทุกข์ ตัณหาเฉย ๆ มันต้องให้เกิดอุปาทาน แล้วเกิดภพแล้วเกิดชาติแล้วจึงจะเป็นทุกข์ เป็นต้น
ดังนั้น พระพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจจ์ 4 สัจธรรมสูงสุด หรือความจริงของสรรพสิ่ง “ไตรลักษณ์ 3” และความจริงของชีวิต “ปฏิจจสมุปบาท 12” ว่าสรรพสิ่งและชีวิตทั้งปวงนั้นล้วนมีลักษณะเป็นสามัญธรรมดา 3 ประการคือ
1.อนัตตา เกิดขึ้นและดำรงอยู่โดยต้องมีเหตุปัจจัยอื่น ๆ มาเกื้อหนุน ไม่มีสิ่งใดสามารถจะเกิดขึ้นและดำรงอยู่ได้เป็นอิสระลอย ๆ
2.ทุกขัง - สิ่งนั้นจะมีสภาพที่กำลังเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่สามารถจะคงทนอยู่ในสภาพเดิมได้แม้แต่ขณะจิตเดียว
3.อนิจจัง สิ่งนั้นจะต้องดับสลายรูปอนัตตาเดิมไปเป็นปัจจัยให้เกิดเป็นอนัตตาอื่น ๆ อีกต่อไปไม่สิ้นสุด ไม่มีสิ่งใดเป็นอมตะหรือสูญไปลอย ๆ ซึ่งมีนัยยะสำคัญคือปฏิเสธความมีอยู่และอำนาจของพระพรหมหรือเทพเจ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายตามความเชื่ออุปาทานของผู้คนในสมัยนั้นว่าพระพรหมเป็นผู้สร้าง ผู้รักษา และผู้ทำลาย และปฏิเสธว่าชีวิตมีดวงวิญญาณเป็นอมตะที่แยกตัวออกมาจากพระพรหม พระองค์จึงทรงเกิดปัญญาเห็นทางสว่างในการพ้นทุกข์ของชีวิต คือการละอุปาทานความเชื่อที่ยึดมั่นถือมั่นว่ามีเทพเจ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาลทุกข์สุข ให้หันมาพึ่งตนเองพระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติและสอนลำดับวิธีการคิดเพื่อแก้ปัญหาทุกข์ที่ยั่งยืนให้ตรงกับเหตุ ด้วยเหตุผลและปัญญาและการกระทำที่พึ่งตนเอง คือ อริยสัจ 4
อริยสัจ 4 เป็นหลักความจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง ซึ่งเป็นหลักธรรมที่สอนคนให้เข้าใจปัญหา แล้วแก้ไขปัญหาได้มีอยู่ 4 ประการ คือ
1. ทุกข์ คือความทุกข์หรือปัญหา ชีวิตทุกคนในโลกนี้มีทั้งปัญหาทั่วไปและปัญหาสากล
2. สมุทัย คือเหตุแห่งทุกข์ หรือสาเหตุของปัญหา โดยสอนว่าปัญหาเกิดมาจากสาเหตุหรือปัจจัยที่เรียกว่า ตัณหาหรือความอยากต่าง ๆ ซึ่งแสดงออกมา 3 ลักษณะ คือ กามตัณหา คือความอยากได้ในสิ่งที่เป็นพื้นฐานของโลก  
3. นิโรธ คือ การดับทุกข์หรือการแก้ปัญหาให้มีสภาพที่ไม่ทุกข์ต่อไปอีก โดยเชื่อว่ามนุษย์มีความสามารถเองไปเป็นผู้แก้ปัญหาให้ลุล่วงไปได้ โดยไม่ต้องอาศัยอำนาจศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ มาดลบันดาลให้เป็นไป
4. มรรค คือ การดับทุกข์หรือแนวทางการแก้ปัญหา ซึ่งมีข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์อยู่ 8 ประการเรียกว่า มรรค 8 หรือ มัณชิมาปฏิปทาน แปลว่า ทางสายกลาง การศึกษาธรรมคือการเรียนรู้ไตรลักษณ์(ความจริงของสรรพสิ่ง) และปฏิจจสมุปบาท (ความจริงของชีวิต) ว่ามีลักษณะเป็นสามัญ ไม่มีเทพเจ้าบันดาลให้เป็นไป เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติที่ต้องพึ่งตนเองด้วยความคิด (อริยสัจ 4) และด้วยการกระทำ (อริยมรรคมีองค์ 8) พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้เรื่อง อิทัปปัจจยตา ซึ่งเป็นกฏของธรรมชาติ และการตรัสรู้นั้น มันเป็นการปฏิบัติในทางจิตใจ ด้วยก็เลยทำให้เกิดผลในทางจิตใจ คือ หมดกิเลส เย็นเป็นนิพพานนี้ก็เลยรู้จริง รู้จริงเมื่อหมดไฟกิเลส และไฟทุกข์ เย็นเป็นนิพพาน เราก็ต้องรู้เรื่องว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้อะไร ?
ถ้าตอบตามตัวหนังสือที่มีอยู่ในพระบาลี ที่กล่าวถึงการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ท่านตรัสรู้               อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปปาโท คือ ตรัสรู้เรื่องอิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปปาโท ตามตัวหนังสือเรียงอย่างนั้น แต่ถ้าว่าเราจะพูดกันตามที่เราพูดกันชั้นหลังชอบพูดกันโดยสะดวกเราก็จะพูดว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจจ์ 4 ถึงแม้เงื่อนงำในพระบาลีบางสูตรบางแห่ง ก็พอที่จะทำให้พูดว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจจ์ 4ได้เหมือนกัน ท่านก็เน้นในเรื่องที่ว่ารู้อริยสัจจ์ 4 สมบูรณ์แล้ว จึงปฏิญญาตัวว่าเป็นพระพุทธเจ้า แต่ถ้าไปดูในเรื่องของปฏิจจสมุปบาท ก็เห็นชัดว่าหนังสือระบุไปยังปฏิจจสมุปบาท ตามลำดับกลับไปกลับมา ตรัสรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท
 ทีนี้ปัญหามันก็เกิดขึ้นมาว่า เรื่องอริยสัจจ์ 4 กับเรื่องปฏิจจสมุปบาทนั้น ต่างกันอย่างไร หรือว่าเป็นเรื่องเดียวกัน ? ถ้ามีการศึกษาเพียงพอ ก็จะเห็นเป็นเรื่องเดียวกัน เรื่องอริยสัจจ์ 4 เป็นเรื่องกล่าวย่อ ๆ เรื่องปฏิจจสมุปบาทเป็นเรื่องกล่าวโดยพิสดารเช่น ถ้าโดยทำนองของอริยสัจจ์ 4 เมื่อถามว่าความทุกข์เกิดมาจากอะไร ? ก็ตอบว่า ความทุกข์เกิดมาจากตัณหา ตัณหาเป็นสมุทัยให้เกิดทุกข์นี่ก็ถูกที่สุดแต่มันย่อที่สุดเหมือนกัน ส่วนเรื่องปฏิจจสมุปบาทหรืออิทัปปัจจยตานั้น ถ้าถามว่าความทุกข์เกิดมาจากอะไร ? มันก็ตอบได้หมด เกิดมาจากอวิชชา เกิดมาจากตัณหา เกิดมาจากอุปาทาน แล้วแต่จะชี้ลงไปที่ตรงไหน เพราะว่าสายของปฏิจจสมุปบาทนั้นมันยาวมาก มีทั้ง 11 12 รายการว่าเกิดมาจากอวิชชาก็ถูก เกิดมาตามลำดับจนกระทั่งมาเกิดเวทนา แล้วเกิดตัณหา มันก็อยู่ในสายของปฏิจจสมุปบาท ตัณหาก็เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ได้ มีตัณหาแล้วมันต้องให้เกิดอุปาทานเสียก่อน มันจึงจะเป็นทุกข์ได้ ตัณหาคือความอยาก ฉนั้น อริยสัจจ์ คือความทุกข์ที่เกิดมาจากตัณหา หมายความว่า มันต้องผ่านอุปาทาน ภพ และชาติ เพราะมีความยึดมั่นในขันธ์ทั้ง 5 ขันธ์ใดขันธ์หนึ่งอย่างที่ว่ามาแล้วถ้าจะกล่าวถึงปฏิจจสมุปบาท ก็กล่าวว่า ตั้งแต่อวิชชามาทีเดียว จะว่าอวิชชาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ก็ได้ หรือจะนับที่ผัสสะ ที่เวทนาก็ได้ นับที่ตัณหาก็ได้ ก็เข้าไปรวมกันเรื่องเดียวกับอริยสัจจ์ แต่ที่แท้จริง ถ้าจะเห็นชัด ๆ ต้องเห็นอุปาทาน ตัณหาให้เกิดอุปาทาน ให้เกิดภพ เป็นตัวเราเต็มที่ออกมา สำหรับจะยึดถืออะไร ว่าเป็นตัวเรา ว่าเป็นของเรา มันจึงเป็นความยึดถือในขันธ์ใดขันธ์หนึ่งแห่งขันธ์ทั้งห้าแล้ว จึงเป็นตัวทุกข์ พูดอีกทีหนึ่งก็ว่า ถ้าจะแจกกันโดยรายละเอียด รายละเอียดให้มันละเอียด เท่าที่จะละเอียดได้แล้ว จะมีถึง 12 อาการ หรือ 11 อาการตามที่แจกไว้ในปฏิจจสมุปบาทอิทัปปัจจยตา หรือว่าถ้าจะมองดูในแนวของอริยสัจจ์ ก็ตัวตัณหา ตัณหาคือเหตุให้เกิดทุกข์ เพราะอยากได้จึงเกิดทุกข์ ความอยากจึงทำให้เกิดความรู้สึกของผู้อยาก นั้นคืออุปาทานแล้วมีภพ มีชาติ ในความหมายของตัวกูผู้อยาก มันเต็มที่ขึ้นมา แล้วก็เป็นทุกข์ ถ้าเข้าใจเห็นแจ้งอย่างนี้ ก็จะพูดได้ด้วยตนเองว่า เรื่องอริยสัจจ์ 4 เป็นเรื่องย่อ เรื่องปฏิจจสมุปบาทเป็นเรื่องพิสดาร เราจะเรียกปฏิจจสมุปบาทว่าเป็นอริยสัจจ์ใหญ่ อริยสัจจ์พิสดารก็ได้ อริยสัจจ์ 4 นั้นเป็นอริยสัจจ์ธรรมดา ในความหมายธรรมดา แต่ถ้าแจกออกไปเป็นปฏิจจสมุปบาทแล้วก็เรียกว่าอริยสัจจ์โดยพิสดาร จะโดยย่อหรือโดยพิสดาร ความทุกข์ต้องอยู่ที่ตัวอุปาทานโดยตรงทั้งนั้น เมื่อมีอุปทานในสิ่งใดสิ่งนั้นก็กลายเป็นของหนักขึ้นมา แล้วก็เป็นทุกข์ เพราะการยึดถือของหนัก เรียกว่าขันธ์ทั้งห้าเป็นของหนัก ขันธ์ทั้งห้าเป็นทุกข์ ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์ทั้งห้าเป็นของหนักเน้อ ที่อยู่ในบทสวดมนต์กันอยู่ทุกวัน ภารหาโร จ ปุคคโล อุปาทานที่ว่าคนนั่นแหละ อุปาทานที่ว่าบุคคลนั่นแหละ จะเป็นผู้แบกของหนักพาไป ภาราทานํ ทุกขํ โลเก เมื่อแบกของหนัก ก็เป็นความทุกข์ ในโลก ภารนิกฺเขป นํ สุขํ สลัดของหนักทิ้งออกไปเสียได้ ก็เป็นความสุข ครั้นทิ้งของหนักลงไปแล้ว อย่ากลับไปจับฉวยขึ้นมาอีกก็จะเป็นผู้หลุดพ้น เป็นพระอริยเจ้า สลัดทิ้งของหนักลงเสียได้
ดังนั้น เรื่องของขันธ์ห้าที่เป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นถือมั่นแล้วก็จะทำให้เกิดทุกข์ ความที่มันเป็นปัจจัยต่อกันและกันอย่างนี้ ก็เรียกว่าอิทัปปัจจยตา ซึ่งแปลว่าเพราะมีสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิด โดยชื่อก็ว่าอย่างนี้ แต่ถ้าว่าให้ละเอียดมันแจกออกไปว่า เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เพราะการดับลงแห่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป สูตรของอิทัปปัจจยตามีว่าอย่างนี้ เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับไป สิ่งนี้จึงดับไป ก็คือส่วนที่เห็นเหตุมี แล้วส่วนที่เป็นเหตุดับไป ส่วนที่เป็นผลก็จะดับไป นี่เป็นกฎของธรรมชาติ เรียกว่ากฎของธรรมชาติ เป็นความจริงของธรรมชาติ เป็นสิ่งมีอำนาจสูงสุดของธรรมชาติ เรียกกฏอิทัปปัจจยตา พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสรู้สิ่งนี้ ค้นคว้าสิ่งนี้โดยรายละเอียดที่เรียกว่าปฏิจจสมุปบาท และคำว่า อิทัปปัจจยตาเป็นคำย่อ ให้เหลือแต่คำว่าน้อย ๆ เป็นคำกว้างจะหมายถึงอะไรก็ได้ ของอะไรก็ได้ แต่คำว่าปฏิจจสมุปบาทนี้ กระจายออกเป็นละเอียดแล้วใช้เฉพาะสิ่งที่มีชีวิตเท่านั้น คำว่าอิทัปปัจจยตาเราใช้ไปได้ทุกสิ่ง จะมีชีวิต ไม่มีชีวิต รูปธรรม นามธรรมอะไรก็ได้ แม้แต่ก้อนหินนี้ก็ได้ มีกฏเกณฑ์แห่งอิทัปปจจยตา แต่ถ้าใช้คำว่าปฏิจจสมุปบาทแล้วมันจะใช้เฉพาะสิ่งมีชีวิต ที่รู้สึกเป็นทุกข์ได้
ดั้งนั้น เรื่องที่สำคัญอยู่ที่ความทุกข์ของสิ่งที่รู้สึกได้ ฉะนั้นเราจึงกล่าวถึงแต่คำว่าปฏิจจสมุปบาท แต่การตรัสรู้ ของพระพุทธเจ้านั้นรู้หมด ทั้งส่วนที่เป็น อิทปฺปจฺจยตา และส่วนที่เป็นปฏิจฺจสมุปฺบาท ดังนั้นในพระบาลีจึงเรียกควบคู่กันไปเสียเลยว่า อิทปฺปจฺจยตา ปฏิจฺจสมุปฺปาโท เป็นคำเดียวกันว่า มันเป็นอย่างนั้น มันต้องเป็นอย่างนั้น เรียกว่าอวิตถตา ก็ไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น อนญฺถตา ไม่เป็นโดยประการนั้น ธมฺมฏฺตตา เป็นการตั้งอยู่ตามธรรมดา ธมฺมนิยามตา เป็นกฎตายตัวของธรรมดา อิทปฺปจฺจยตาปฏิจฺจสมุปฺปาโท นี่แหละคือ อิทปฺปจฺจยตาปฏิจฺจสมุปฺบาทนั่นแหละคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ถ้าแจงรายละเอียดก็ยาว แต่ถ้ากล่าวให้สั้น ก็เหลือแต่คำว่า อิทปฺปจฺจยตา พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ คือค้นพบกฎของธรรมชาติ ที่เรียกว่าอิทัปปัจจยตา เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี ทีนี้ก็ใช้สำหรับรู้ว่า ความทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร ความดับทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร กฎของอิทัปปัจจยตาจึงถูกแยกออกเป็น 2 สาย หรือเป็น 2 ทิศทาง ทิศทางหนึ่งเป็นกฎสำหรับให้มันเกิดทุกข์ขึ้นมา ทิศทางหนึ่งสำหรับจะทำไม่ให้เกิดทุกข์ได้
เราจงรู้จักอิทัปปัจจยตาทั้ง 2 สาย คือ ทั้งสายที่จะให้เกิดทุกข์ขึ้นมา และสายที่ไม่ให้เกิดทุกข์ได้ นั่นแหละรู้สิ่งที่พระพุทธเจ้ารู้ตรัสรู้ แล้วเราก็รู้ตาม ฉะนั้นขอให้ทุกท่านพยายามทราบเรื่องนี้ ว่าความทุกข์เกิดขึ้นมาอย่างไร ? มันเกิดขึ้นโดยกฎของอิทัปปัจจยตาอย่างนี้ ถ้าแจกโดยละเอียดก็เป็นเรื่องปฏิจจสมุปบาท 11 อาการ ถ้าแจกเป็นอริยสัจจ์ 4 ก็อาการเดียว คือ ตัณหาให้เกิดทุกข์
เราจะไม่เพียงแต่ได้ยินได้ฟังอย่างนี้ เราต้องนำไปจับเข้ากับความจริงที่มีอยู่จริง ที่ปรากฏอยู่ในจิตใจของเรา จริงว่าเดี๋ยวนี้เรากำลังเป็นอย่างไร ? แล้วก็ไล่ไป ๆ ก็จะครบทั้ง 11 อาการ เหมือนที่พระพุทธเจ้าทรงนั่งใคร่ครวญไล่เลียงอยู่ ในคืนวันที่ตรัสรู้นั้น พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสรู้เรื่อง อิทปฺปจฺจยตา คือกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ อันเฉียบขาดตายตัว ว่าความทุกข์จะต้องเกิดขึ้นมาอย่างนี้ ว่าความทุกข์จะต้องดับไปอย่างนี้ ถ้ารู้จริงก็ป้องกันได้ ดับทุกข์ได้ อยู่ได้โดยที่ไม่ต้องเป็นทุกข์ นี่เรียกว่าเราได้รับประโยชน์จากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า โดยที่เราก็ได้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า มีการประสูติและมีการนิพพาน อย่างเดียวกันด้วย เกิดชีวิตใหม่ อยู่ในชีวิตใหม่ นี่เรียกว่าประสูติใหม่ เกิดใหม่ แล้วก็นิพพาน คือดับเย็นแห่งความร้อนทั้งปวง ชีวิตนี้กลายเป็นชีวิตเย็น นี่คือประโยชน์ของการที่เราได้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า มีประสูติ มีนิพพาน เหมือนพระพุทธเจ้า เราสามารถป้องกันไม่ให้เกิดความยึดมั่นถือมั่นด้วยสติ เราต้องมีสติ เราจึงต้องฝึกกรรมฐานให้มีสติ ให้ระลึกได้โดยเร็ว นี้เรียกว่าสติ ให้มีปัญญารู้เรื่องอิทัปปัจจยตานี้ ซึ่งสรุปแล้วจะเหลือแต่ ตถตา ว่าเป็นเช่นนั้นเอง เป็นเช่นนั้นเอง อริยสัจจ์ก็ดี ปฏิจจสมุปบาทก็ดี คือความเป็นเช่นนั้นเอง ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนอะไร นี่เรียกว่าปัญญา และเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องกฎอิทัปปัจจยตา ได้ตรัสรู้เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านยังเคารพธรรมะ ที่ท่านตรัสรู้ คือเรื่องอิทัปปัจจยตา
พระพุทธเจ้าตรัสรู้พระธรรม
คำว่า ธรรม แปลตามศัพท์ว่า ทรงไว้ คือ ดำรงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง คำนี้ใช้ในความหมายมากมาย เฉพาะในที่นี้ ท่านว่าหมายถึงสัจจะ คือความจริง เพราะความจริงที่เป็นความจริง มิใช้เป็นของเท็จของปลอมย่อมทรงหรือดำรงความจริงอยู่เสมอ ความจริงที่แน่แท้จึงมีลักษณะของธรรม คือทรงหรือดำรงอยู่นั่นเอง และคำว่าสัจจะที่แปลว่าความจริง ก็แปลตามศัพท์ว่าสภาพที่มีอยู่เป็นอยู่ อันสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่ได้ก็ต้องเป็นสิ่งที่ทรงตัวหรือดำรงตัวอยู่ได้เหมือนอย่างชีวิต ทรงชีวิตหรือมีชีวิตก็หมายถึงยังเป็นอยู่ยังไม่ตายเช่นเดียวกัน ฉะนั้น ธรรมจึงได้แก่ความจริง เรียกควบกันเป็นศัพท์ว่าสัจธรรม พระพุทธเจ้าตรัสรู้พระธรรม คือ ตรัสรู้ความจริง
พระพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจจ์
คำว่า อริยะ ตรงคำว่า อารยะ แปลกันว่าประเสริฐ อริยสัจจ์แปลว่าความจริงอย่างประเสริฐ (คือ จริงอย่างแน่แท้หรือแน่นอน) ความจริงที่ทำให้ผู้รู้เป็นพระอริยะ (ผู้ประเสริฐ) ความจริงที่พระอริยะพึงรู้ ความจริงของพระพุทธเจ้าผู้อริยะ ข้อนี้เท่ากับเป็นข้ออธิบายของข้อก่อน คือข้อก่อนว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้พระธรรมคือความจริง ข้อนี้ชี้ลงไปชัดว่าธรรมคือความจริง (สัจจธรรม) ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้น คืออริยสัจจะ ไม่ใช่สัจจะทั่ว ๆ ไปของปุถุชน
พระพุทธเจ้าตรัสรู้พระโพธิญาณ
คำว่า โพธิ แปลว่า ตรัสรู้ ญาณ แปลว่า หยั่งรู้ ทั้ง 2 คำแปลว่ารู้ ด้วยกัน แต่โพธิมีความหมายสูงกว่า รวมกันว่าโพธิญาณ แปลว่า ญาณคือความตรัสรู้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้พระโพธิญาณ เมื่อแปลเข้าก็คงซ้ำ ๆ กันว่าตรัสรู้พระญาณคือความตรัสรู้ มีความหมายว่ารู้จนตรัสรู้ความจริงแจ้งอยู่ในความรู้อันเรียกว่าพระโพธิญาณของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสรู้พระโพธิญาณจึงมีความหมายง่าย ๆ ว่าตรัสรู้ความรู้ในสัจธรรม พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ ธรรมที่ยังไม่เคยมีผู้ใดได้ประกาศ ธรรมเหมือนที่พระองค์ได้ตรัสรู้มาก่อน พระองค์ทรงค้นพบ ธรรมขณะที่เป็นนักบวชและทรง ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เองเป็นพระพุทธเจ้า หลังจากที่ได้ทรงไตร่ตรองเหตุและผลตามความเป็นจริงของธรรมชาติ จนแน่พระทัยว่า ธรรมที่พระองค์ค้นพบนั้นเป็นประโยชน์อันยิ่งใหญ่ต่อมวลมนุษยชาติและสัตว์โลก ธรรมนั้นคือ อริยสัจ 4 เจ้าชายสิทธัตถะได้ทรงเจริญวัยเติบโตมาอย่างสุขสำราญเพลิดเพลินอยู่แต่ในปราสาทราชวัง ความทุกข์หรือสิ่งระคายเคืองต่าง ๆ ก็แทบจะไม่มีขึ้นแก่พระองค์เลย จนมาวันหนึ่ง พระองค์ทรงเสด็จประภาสนอกรั้ววัง จึงไปเห็นในสิ่งที่พระองค์ไม่เคยทรงเห็นมาก่อน นั่นคือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และ นักบวช ก็ทรงหวาดหวั่นรำพึงในพระทัยว่า อันคนเราจักต้องประสพพบกับสิ่งอันน่าเกลียดน่ากลัวเช่นนี้ทุกผู้ทุกคน ตั้งแต่วันนั้นพระองค์ทรงดำริวิตกอยู่ในใจถึงความทุกข์ที่ทุกคนต้องเผชิญอยู่นี้ ทรงดำริว่า ทุก ๆ คนเกิดมาทำไม ทำไมอยู่ ๆต้องเกิดมาเป็นเราเป็นเขา ทำอย่างไรจึงจะพ้นจากสิ่งเหล่านั้นแล้ววันหนึ่ง เมื่อพระองค์พระชนมายุได้ 29 พรรษา พระองค์ก็ทรงเสด็จหนีออกจากวัง เพื่อไปแสวงหาทางพ้นจากทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้ ทรงแสวงหาทางอยู่หลายวิธี หลายสำนัก เป็นเวลาถึง 6 ปี จนในที่สุดวันหนึ่ง ตรงกับวันเพ็ญวิสาขะ พระองค์ก็ทรงค้นพบวิธีที่จะพ้นทุกข์ทั้งหลายอย่างหมดจดถาวร ทรงทราบถึงเหตุเกิดแห่งทุกข์เหล่านั้น ทราบถึงวิธีการดับทุกข์ และทราบถึงสภาวะที่ดับทุกข์แล้ว เมื่อนั้นเอง พระองค์ก็ทรงนำเอาวิธีเหล่านั้นมาสั่งสอนเวไนยสัตว์ทั้งปวง มาจนกระทั่งบัดนี้ สิ่งที่พระองค์ทรงค้นพบก็คือ อันสรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่ต้องมาประสบพบความทุกข์ ก็เพราะตัวกิเลสตันหา เมื่อมีกิเลสตันหาเมื่อใดก็เกิดทุกข์เมื่อนั้น และเมื่อดับตัวกิเลสตันหาได้ก็ดับเหตุเกิดแห่งทุกข์ได้ ทรงพิจารณาอย่างลึกซึ้งว่า ถึงพระธรรมที่เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท คือพิจารณาว่า เมื่อสรรพสัตว์ทั้งหลายมี อวิชชาก็มีสังขาร เมื่อมีสังขารก็มีวิญญาณ เมื่อมีวิญญาณก็มีนามรูป เมื่อมีนามรูปก็มีสฬายตนะ เมื่อมีสฬายตนะก็มีผัสสะ เมื่อมีผัสสะก็มีเวทนาเมื่อมีเวทนาก็มีตันหา เมื่อมีตันหาก็มีอุปทาน เมื่อมีอุปทานก็มีภพ เมื่อมีภพก็มีชาติ เมื่อมีชาติก็มีชรามรณะ เป็นอย่างนี้วนเวียนเป็นวัฏฏะหาสิ้นสุดมิได้ เมื่อใดดับอวิชชา (ความไม่รู้) ลงเสียได้ เมื่อนั้น เหตุเกิดแห่งทุกข์ทั้งหลายก็หมดลง สิ้นชาติสิ้นภพ สิ้นอาสวะกิเลส เป็นสมุทเฉทประหาร เข้าสูพระนิพพานอันเป็นบรมสุขชั่วนิรันดร์
กล่าวโดยสรุป พระพุทธเจ้าตรัสรู้พระธรรม ได้แก่ ทรงไว้ คือ ดำรงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง คำนี้ใช้ในความหมายมากมาย เฉพาะในที่นี้ หมายถึงสัจจะ คือความจริง เพราะความจริงที่เป็นความจริง มิใช้เป็นของเท็จของปลอมย่อมทรงหรือดำรงความจริงอยู่เสมอ ความจริงที่แน่แท้จึงมีลักษณะของธรรม คือทรงหรือดำรงอยู่นั่นเอง และคำว่าสัจจะที่แปลว่าความจริง คือสัจธรรม ฉะนั้น พระพุทธเจ้าตรัสรู้พระธรรม คือ ตรัสรู้ความจริง อริยสัจจ์แปลว่าความจริงอย่างประเสริฐ (คือ จริงอย่างแน่แท้หรือแน่นอน) ความจริงที่ทำให้ผู้รู้เป็นพระอริยะ (ผู้ประเสริฐ) ความจริงที่พระอริยะพึงรู้ ความจริงของพระพุทธเจ้าผู้อริยะ และพระพุทธเจ้าตรัสรู้พระโพธิญาณ คือตรัสรู้ความรู้ในสัจธรรม พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ ธรรมที่ยังไม่เคยมีผู้ใดได้ประกาศ ธรรมเหมือนที่พระองค์ได้ตรัสรู้มาก่อน พระองค์ทรงค้นพบ ธรรมขณะที่เป็นนักบวชและทรงตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เองเป็นพระพุทธเจ้า หลังจากที่ได้ทรงไตร่ตรองเหตุและผลตามความเป็นจริงของธรรมชาติ จนแน่พระทัยว่า ธรรมที่พระองค์ค้นพบนั้นเป็นประโยชน์อันยิ่งใหญ่ต่อมวลมนุษยชาติและสัตว์โลก ธรรมนั้นคือ อริยสัจ 4 อริยสัจที่เกิดอยู่ในขันธ์ทั้ง 5 เหล่านี้ เป็นที่รวมแห่งทุกข์ทั้งหลาย เมื่อไม่มีขันธ์ 5 ทุกข์นั้นไม่สามารถปรากฏขึ้นได้ ดังพระพุทธองค์ตรัสว่า “เราไม่กล่าวว่า การที่บุคคลไม่ถึงที่สุดแห่งโลก จะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ แต่เราบัญญัติโลก เหตุให้เกิดโลก การดับของโลก ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งโลก ในร่างกายมีประมาณหนึ่ง มีสัญญา มีใจครองนั้นเอง” จะเห็นได้ว่า การตรัสรู้ของพระพุทธองค์ พระองค์ตรัสรู้ในเรื่องของรูป นาม หรือที่เรียกว่า “ขันธ์ 5” เพราะขันธ์ทั้ง 5 เป็นอารมณ์ของอุปาทานซึ่งเป็นสาเหตุแห่งความทุกข์ทั้งมวล พระพุทธองค์เป็นผู้ตรัสรู้ว่า สาเหตุที่ทำให้ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ ความประจวบกับไม่เป็นที่รักเป็นทุกข์เพราะสิ่งเหล่าล้วนเกิดในขันธ์ 5 ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นพระพุทธองค์จึงเป็นรู้แจ้งโลกดังที่กล่ามาแล้วข้างต้น หรือที่เรียกว่าการตรัสรู้ “ขันธ์” ที่เป็นบ่อเกิดแห่ง “อริยสัจจ์”

บรรณานุกรม  
พระไตรปิฎก เล่มที่ 4, 17.
พุทธทาส ภิกฺขุ. พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร.


การศึกษาเชิงวิเคราะห์นิพพานในพระอภิธรรมปิฎก
                แม่ชีสุภาพรรณ กลิ่นนาค

                การศึกษาเชิงวิเคราะห์นิพพานฉบับนี้จะกล่าวถึงนิพพานในพระไตรปิฎกทั้งสามปิฎกเพื่อความสมบูรณ์ในส่วนของเนื่อหาจึงขอนำนิพพานในพระสูตรเข้ามารวมอยู่ด้วย ไม่ว่าจะอยู่ในพระสูตรใด คำว่า นิพพาน ก็มีความหมายอย่างเดียวกัน คือ หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง (สนฺติ ลกฺขณํ) ดังนั้น จะกล่าวถึง วจนัตถะของนิพพาน ภาวะของนิพพาน ภาวะของผู้บรรลุนิพพาน ภาวะทางความประพิฤติหรือการดำเนินชีวิต รวมถึงประเภทและระดับของนิพพาน ลำดับท้าย คือ ประเภทและระดับของผู้บรรลุนิพพานสรุปการเข้าถึงนิพพานต้องปฏิบัติตามแนวไตรสิกขา เป็นลำดับไป

1. วจนัตถะของนิพพาน
นิพพานปรมัตถ์ นิพพาน = เป็นธรรมชาติที่สงบจากรูปนามขันธ์ 5 (สันติลักขณํ) การที่เป็นเช่นนี้เพราะเหตุว่า นิพพานเป็นธรรมชาติที่พ้นจากตัณหาอย่างเด็ดขาดนั้นเอง เพราะเหตุนี้พระอรหันต์ทั้งหลายเมื่อได้เข้าถึงซึ่งขันธ์ปรินิพพานแล้ว วัฏฏทุกข์ต่าง ๆ ที่เป็นการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นต้นเหล่านี้ ก็ดับสูญสิ้นทั้งหมดโดยไม่มีเหลือ ดังมีวจนัตถะว่า
วานโต นิกฺขนฺตนฺติ = นิพฺพานํ (วา)
ธรรมชาติใด ย่อมพ้นจากตัณหาที่ชื่อว่า วานะ อันเป็นเครื่องร้อยภพน้อยภพใหญ่ให้ติดต่อกันอย่างเด็จขาด ฉะนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อว่า นิพพาน (หรือ)
                นิพฺพายนฺติ สพฺเพ วฏฺฏทุกฺขสนฺตาปา เอตสฺมินฺติ = นิพฺพานํ (วา)
                วัฏฏทุกข์ และความเดือดร้อนต่าง ๆ ย่อมไม่มีในนิพพานนี้ ฉะนั้น ธรรมชาติที่เป็นที่ดับแห่งวัฏฏทุกข์ และความเดือดร้อนต่าง ๆ นี้ชื่อว่า นิพพาน (หรือ)
                นิพฺพายนฺติ อริยชนา เอตสฺมินฺติ = นิพฺพานํ
                พระอริยบุคคลทั้งหลายเมื่อถึงซึ่งขันธปรินิพพานแล้วย่อมดับสูญสิ้น คือ ไม่เกิด ไม่ตาย ฉะนั้น ธรรมชาติที่ทำลายการเกิด การตาย ให้สูญสิ้นหมดไปชื่อว่า นิพพาน
                คำว่า นิพพาน เมื่อตัดบทแล้วได้ 2 บท คือ นิ + วาน
                นิ             แปลว่า   พ้น         หรือ        ออก
                วาน        แปลว่า   ตัณหา
                เมื่อรวมบททั้งสองเข้าด้วยกันแล้วเป็น นิวาน แปลว่า พ้นจากตัณหา หรือออกจากตัณหา คำว่า นิวานะ เป็นนิพพานนั้น เป็นไปโดยนัยไวยากรณ์ คือ ว ตัวเดียวให้เป็น ว ว สองตัว (โดยภาวะ) ว ว สองตัว เปลี่ยนเป็น พ พ สองตัว ฉะนั้น จึงเป็น นิพพาน (พระสัทธัมมโชติกะ ธมฺมาจริย, หลักสูตรชั้นจูฬอาภิธรรมิกะตรี, หน้า 8.)

2. ภาวะแห่งนิพพาน
                เมื่ออวิชา ตัณหา อุปาทานดับไป นิพพานก็ปรากฏแทนที่พร้อมกัน ก็เกิดปัญญา เป็นวิชชาสว่างแจ้งขึ้น มองเห็นสิ่งทั้งหลายกล่าวคือโลกและชีวิตถูกต้องชัดเจนตามที่มันเป็นของมัน ไม่ใช่ตามที่อยากให้มันเป็น หรือตามอิทธิพลของสิ่งเคลือบแฝงกำบัง การมองเห็น การรับรู้ต่อโลกและชีวิตก็จะเปลี่ยนไป ความรู้สึกและท่าทีต่อสิ่งต่าง ๆ ก็จะเปลี่ยนไป ยังผลให้บุคลิกภาพเปลี่ยนไปด้วย สิ่งที่ปรากฏอยู่แต่ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น หรือแม้แต่นึกถึง เพราะถูกปิดกั้นคลุมบังเงาไว้ หรือเพราะมัวสาระวนเพลินอยู่กับสิ่งอื่น ก็ได้รู้ได้เห็นขึ้นเกิดเป็นความรู้เห็นใหม่ ๆ จิตใจเปิดเผยกว้างขวางไม่มีประมาณ โปร่งโล่ง เป็นอิสระ เป็นภาวะที่แจ่มใส สะอาด สว่าง สงบ ละเอียดอ่อน ประณีต ลึกซึ้ง ซึ่งผู้ยังมีอวิชา ตัณหา อุปาทาน ครอบงำใจอยู่อย่างที่เรียกว่า ปุถุชน นึกไม่เห็น คิดไม่เข้าใจ แต่เข้าถึงเมื่อใด ก็รู้เห็นประจักษ์แจ้งเองเมื่อนั้น ดังคำแสดงคุณลักษณะของนิพพานว่า
“นิพพาน อันผู้บรรลุเห็นได้เอง ไม่ขึ้นกับกาล เรียกให้มาดูได้ ควรนอมเอาเข้ามาไว้ อันวิญญูชน พึงรู้เฉพาะตน” (องฺ.ติก.20/495/202)

                การที่ปุถุชนไม่สามารถนึกเห็น ไม้อาจคิดให้เข้าใจภาวะของนิพพานได้นั้น เพราะธรรมดาของมนุษย์ เมื่อยังไม่รู้เห็นประจักษ์เองซึ่งสิ่งใด ก็เรียนรู้สิ่งนั้นด้วยอาศัยความรู้เก่าเป็นพื้นเทียบ คือ เอาสัญญาที่มีอยู่แล้วมากำหนด การไม่เคยรู้ไม้เคยเห็น หรือนึกไม่เห็น คิดไม่เข้าใจของมนุษย์เพียงอย่างเดียว จึงมิใช่เครื่องชี้ขาดว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่มี (พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรมฉบับปรับปรุงและขยายความ)
                เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ ก่อนที่จะทรงประกาศธรรม ได้ทรงมีพุทธดำริว่า
“ธรรมที่เราเข้าถึงแล้วนี้ ลึกซึ้ง เห็นยาก สงบ ประณีต ตรรกหยั่งไม่ถึง (ไม่อยู่ในวิสัยของตรรก) ละเอียดอ่อน เป็นวิสัยของบัณฑิตจะพึงทราบ”
“ธรรมเราเข้าถึงโดยยาก เวลานี้ ไม่ควรประกาศ, ธรรมนี้มิใช่สิ่งที่สัตย์ผู้ถูกราคะโทสะครอบงำจะรู้เข้าใจง่าย, สัตย์ทั้งหลายผู้ถูกราคะย้อมไว้ ถูกกองความมืด (อวิชชา) ห่อหุ้ม จักไม่เห็นภาวะที่ทวนกระแส ละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง เห็นยาก ละเอียดยิ่งนัก” (ม.มู.12/321/323)

                ธรรมในที่นี้ หมายถึง ปฏิจจสมุปบาท และนิพพาน (จะหมายอริยสัจจ์ 4 ก็ได้ใจความเท่ากัน) แต่ถึงแม้จะยากอย่างนี้ก็ปรากฏว่าพระพุทธเจ้าได้ทรงพยายามสั่งสอนชี้แจงอธิบายอย่างมากมาย ดังนั้น คำว่า นิพพานเป็นสิ่งที่ปุถุชนนึกไม่เห็น คิดไม่เข้าใจ จึงควรมุ่งให้เป็นคำเตือนเสียมากกว่า คือ เตือนว่าไม่ควรเอาแต่คิดสรางภาพและถกเถียงชักเหตุผลมาแสดงกันอยู่ จะเป็นเหตุให้สรางสัญญาผิด ๆ ขึ้นเสียเปล่า ทางที่ดีหรือทางที่ถูก ควรจะลงมือปฏิบัติให้เข้าถึงเพื่อรู้เห็นประจักษ์ชัดกับตนเอง เพราะถึงแม้ว่านิพพานนั้นเมื่อยังไม้รู้ไม่เห็น ก็นึกไม่เห็นคิดไม่เข้าใจ แต่ก็เป็นสิ่งที่รู้ได้เห็นได้เข้าถึงได้ เพียงแต่ว่ายากเท่านั้น
                เมื่อกล่าวถึงภาวะของนิพพาน มีคำแสดงภาวะนิพพานที่สำคัญที่สุดคำหนึ่งว่า “อสังขตะ” แปลว่า ไม่ถูกปรุงแต่ง คือไม่เกิดจากเหตุปัจจัยต่าง ๆ ปรุงแต่งขึ้น นิพพานเกิดจากเหตุ เพราะนิพพานเป็นผลของมรรค หรือการปฏิบัติตามมรรค เป็นเหตุแห่งการบรรลุนิพพาน

3. ภาวะของผู้บรรลุนิพพาน
                เนื่องด้วยคำสอนในพระพุทธศาสนาเน้นสิ่งที่ปฏิบัติได้จริง และการลงมือปฏิบัติทำให้รู้เห็นประจักษ์บังเกิดผลเป็นประโยชน์แก่ชีวิต หรือเน้นสิ่งที่ใช้ประโยชน์ได้ และการนำสิ่งนั้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ดังนั้น ในการพิจารณาเรื่องนิพพาน ภาวะของผู้บรรลุนิพพาน และประโยชน์ที่เป็นผลของการบรรลุนิพพาน
                ภาวะของผู้บรรลุนิพพาน เช่น อรหันต์ (ผู้ควร หรือผู้ไกลจากกิเลส) ขีณาสพ (ผู้สิ้นอาสวะแล้ว) อเสขะ (ผู้ไม่ต้องศึกษา, ผู้จบการศึกษาแล้ว หรือผู้ประกอบดั้วยอเสขธรรม) ปริกขีณภวสังโยชน์ (ผู้หมดสังโยชน์ที่เป็นเครื่องผูกมัดไว้ในภพ) วุสิตวันต์ หรือ วุสิตพรหมจรรย์ (ผู้อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว) อริยะ หรืออารยชน-แท้ (ผู้เจริญ, ผู้ประเสริฐ) (ขุ.จู.30/113/40)
                3.1 ภาวะทางปัญญา
                ลักษณะสำคัญที่เป็นพื้นฐานทางปัญญาของผู้บรรลุนิพพาน คือ การมองสิ่งทั้งหลายตามที่มันเป็น หรือเห็นตามความเป็นจริง เริ่มต้นตั้งแต่การรับรู้อารมณ์ทางอายตนะ ด้วยจิตที่มีท่าทีเป็นกลางและมีสติไม่หวั่นไหวถูกชักจูงไปตามความชอบใจ ไม่ชอบใจ สามารถตามรู้เห็นอารมณ์นั้น ๆ ไปตามสภาวะของมันตั้งแต่ต้นจนตลอดสาย ไม่ถูกความติดพัน ความข้องขัดขุ่นมัว หรือความกระทบกระแทกที่เนื่องจากอารมณ์นั้นฉุดรั้งหรือสะดุดเอาไว้ให้เขวออกไปเสียก่อน ต่างจากปุถุชนที่เมื่อรับรู้อารมณ์ใด มักไปสะดุดอยู่ตรงจุดหรือแง่ที่กระทบความชอบใจไม่ชอบใจ แล้วเกาะเกี่ยวพัวพันอยู่ตรงนั้น สร้างความปรุ่งแต่งที่เป็นทุกข์
                ภาวะที่ลึกซึ้งลงไปอีก คือ ปัญญาที่รู้เท่าทันสังขาร รู้สามัญลักษณะที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รู้เท่าทันสมมติบัญญัติ ไม่ถูกหลอกให้หลงไปตามรูปลักษณ์ภายนอกของสิ่งทั้งหลาย และยอมรับความจริงทุกด้าน มิใช่ติดอยู่เพียงแง่ใดแง่หนึ่ง ความรู้เห็นตามที่มันเป็น ผู้ที่จะตรัสรู้ได้ต้องเข้าใจทั้งสองส่วน คือ ส่วนที่น่าชื่นชม (อัสสาทะ) ส่วนที่เสีย หรือส่วนที่เป็นโทษ (อาทีนพ) และทางปลอดพ้น (นิสสรณะ) ของกาม ของโลก ของขันธ์ 5 มองเห็นส่วนดีว่าเป็นส่วนดี มองเห็นส่วนเสียว่าเป็นส่วนเสีย มองเห็นทางปลอดพ้นว่าเป็นทางปลอดพ้น แต่ที่ละกาม หายติดใจในโลก เลิกยึดขันธ์ 5 เสีย ก็เพราะมองเห็นทางปลอดพ้นเป็นอิสระ (นิสสรณะ) ซึ่งจะทำให้อยู่ดีมีสุขได้โดยไม่ต้องขึ้นต่อส่วนดีและส่วนเสียเหล่านี้ อีกทั้งเป็นการอยู่ดีมีสุขที่ประเสริฐกว่าประณีตกว่าอีกด้วย
                ลักษณะทางปัญญาของผู้เข้าถึงสัจจธรรมแล้ว คือ ไม่(ต้อง)เชื่อ ไม่(ต้อง)ศรัทธา หรือไม่ต้องอาศัยศรัทธา เรียกตามบาลีสั้น ๆ ว่า “อัสสัทธะ” ลักษระนี้ต่างกันอย่างตรงกันข้ามกับความไม่เชื่อ หรือความไม่ศรัทธา ตามความหมายสามัญขั้นต้น ซึ่งไม่รู้ไม่เห็น จึงไม่เชื่อ หรือไม่เลื่อมใสในตัวผู้พูดเป็นต้น จึงไม่ยอมเชื่อ แต่ในที่นี้ไม่ต้องเชื่อ เพราะรู้เห็นสิ่งนั้น ๆ แจ้งประจักษ์กับตนเองแล้ว รู้เองเห็นเองแล้วไม่ต้องรู้เห็นผ่านผู้อื่น ไม่ต้องอาศัยความรู้ผ่านผู้อื่นแล้ว จึงไม่ต้องเชื่อใครอีก ดังท่านได้อธิบายว่า
“เกี่ยวกับธรรมที่รู้แน่อยู่ด้วยตนเอง ปรัจักษ์กับตนเอง (ธอ) ไม่เชื่อต่อใคร ๆ อื่น ไม่ว่าจะเป็นสมณะหรือพราหมณ์ เทวดา มาร หรือ พรหม คือ ไม่เชื่อต่อใคร ๆ เกี่ยวกับธรรมที่รู้แน่อยู่เอง ประจักษ์กับตัวว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงมิใช่เป็นตัวตน เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยสังขารจึงมี ฯลฯ” (ขุ.ม.29/407/281)
               
3.2 ภาวะทางจิต
                ภาวะทางจิตที่สำคัยเป็นพื้นฐาน คือ ความเป็นอิสระ หรือเรียกตามคำพระว่าความหลุดพ้น ภาวะนี้เป็นผลสืบเนื่องจากปัญญา คือ เมื่อเห็นตามความเป็นจริง รู้เท่าทันสังขารแล้ว จิตจึงพ้นจากอำนาจครอบงำของกิเลส ดังท่านได้อธิบายว่า
“จิตที่ปัญญาปมงอมแล้ว ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย” หรือ “เมื่อเธอรู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้นแม้จากกามาสวะ จิตย่อมหลุดพ้นแม้จากภวาสวะ จิตย่อมหลุดพ้นแม้จากอวิชชาสวะ” (วิ.น.1/3/9)

                ลักษณะด้านหนึ่งของความเป็นอิสระ ในเมื่อไม่ถูกกิเลสครอบงำ ก็คือ การไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์ที่ยั่วยุ คือ อารมณ์เป็นที่ตั้งของราคะ หรือโลภะ โทสะและโมหะ เพราะจิตจิตปราศจากราคะ โทสะ โมหะแล้ว ยิ่งกว่านั้น ยังมีผลสืบเนื่องจากความปราศจากราคะ โทสะ โมหะต่อไปอีก
                และอีกด้านหนึ่งของความหลุดพ้นเป็นอิสระ ความไม่ติดในสิ่งต่าง ๆ ไม่ติดในกาม ไม่ติดในบุญบาป ไม่ติดในอารมณ์ต่าง ๆ อันจะเป็นเหตุให้ต้องรำพึงหวังอนาคต ดังท่านได้อธิบายว่า
“ผู้ถึงธรรม ไม่เศร้าโศกถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่ฝันเพ้อถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ดำรงอยู่ด้วยสิ่งที่เป็นปัจจุบัน ฉะนั้นผิวพรรณของท่านจึงผ่องใส, ส่วนชนผู้อ่อนปัญญาทั้งหลายเฝ้าฝันเพ้อถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง และหวนละห้อยถึงความหลังอันล่วงแล้ว จึงซูบซีดหม้นหมอง เสมือนต้นอ้อสด ที่เขาถอนทึ้งขึ้นทิ้งไว้กลางแสงแดด” (สํ.ส.15/22/7)

                ดังนั้น พระอรหันต์ไม่ใช้ปัญญาพิจารณากิจการงานภายนอก และไม่ใช้ประโยชน์จากความรู้เกี่ยวกับอดีต แต่ตรงกันข้าม เพราะอรหันต์มีภาวะทางจิตที่ปล่อดโปร่งจากอดีตและอนาคต และผู้บรรลุนิพพานเป็นสุข ผู้บรรลุนิพพานก็เป็นผู้มีความสุข แต่ผู้บรรลุนิพพานไม่ติดในความสุข ไม่ว่าชนิดใด ๆ รวมทั้งไม่ติดใจเพลิดนิพพานด้วย เมื่อรับรู้อารมณ์ต่าง ๆ จากภายนอก ทางตา ทางหู ทางจมูกเป็นต้น พระอรหันต์ยังคงเสวยเวทนาเหล่านั้น ทั้งที่เป็นสุขเป็นทุกข์ และไม่สุขไม่ทุกข์ เช่นเดียวกับคนทั่วไป แต่มีข้อพิเศษตรงที่ท่านเสวยเวทนาอย่างไม่มีกิเลสร้อยรัด ไม่ติดเพลินหรือข้องขัดอยู่กับเวทนานั้น
                3.3 ภาวะทางควมประพฤติหรือการดำเนินชีวิต
                ส่วนด้านการประพฤติทั่วไป ที่เรียกว่า ศลี คำกล่าวลักษณะของผู้บรรลุนิพพาน ทั้งนี้เพราะตามหลักแล้ว ศีล เป็นสิกขาหรือการศึกษาขั้นต้น พระอริยบุคคลย่อมเป็นผู้มีศีลสมบูรณ์แล้วตั้งแต่ชั้นพระโสดาบัน และเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ ที่ผู้เข้าถึงนิพพานบรรลุ ก็เป็นภาวะที่ทำให้ความทุศีลหรือความประพฤติเสียหายไม่มีเหลือต่อไป
                เหตุผลขั้นสุดท้ายที่ทำให้ผู้บรรลุนิพพานแล้ว ไม่ต้องคำนึงถึงประโยชน์ของตนเอง หรือห่วงใยเรื่องของตนเอง สามารถทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น หรือบำเพ็ญกิจแห่งกรุณาได้เต็มที่ ก็เพราะเป็นผู้ทำประโยชน์ตนเสร็จสิ้นแล้ว การดำเนินชีวิตของพระอรหันต์ ทั้งด้วนกิจการงาน และด้วนความประพฤติส่วนตัว มุ่งเพื่อประโยชน์ของพหุชน และคำนึงถึงความเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับชุมชนรุ่นหลัง และเพื่อประโยชน์สุขแก่เทวะและมนุษย์ทั้งหลาย
                กล่าวโดยสรุป ภาวะทางปัญญา ภาวะทางจิต และภาวะทางความประพฤติและการดำเนินชีวิต ของผู้บรรลุนิพพาน คือ ปัญญาที่เรียกจำเพราะว่า วิชชา ความหลุดพ้นเป็นอิสระที่เรียกว่าวิมุตติ และกรุณาที่เป็นพลังแผ่ปรีชาญาณออกไปทำให้ผู้อื่นพลอยได้วิชชา และถึงวิมุตติด้วย

4. ประเภทและระดับของนิพพาน
                การแบ่งประเภทนิพพานที่ทราบกันทั่วไป โดยการณูปจารนัย คือกล่าวโดยปริยายแห่งเหตุแล้วแบ่งนิพพานเป็น 2 คือ
                1. สอุปาทิเสสนิพพาน
                2. อนุปาทิเสสนิพพาน
                สิ่งที่เป็นเกณฑ์แบ่งประเภทในที่นี้คือ “อุปาทิ” ซึ่งอธิบายว่า ได้แก่สภาพที่ถูกกรรมกิเลสถือครอง หรือสภาพที่ถูกอุปาทานยึดไว้มั่น หมายถึงเบ็ญจขันธ์ (ขันธ์ 5) คือ
                1. สอุปาทิเสสนิพพาน หมายความว่า นิพพานที่เป็นไปกับขันธ์ 5 คือ วิบาก และกัมมชรูป ที่เหลือจากกิเลสทั้งหลาย ได้แก่ นิพพานของพระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่
                2. อนุปาทิเสสนิพพาน หมายความว่า นิพพานที่ไม่มีขันธ์ 5 คือ วิบาก และกัมมชรูปเหลืออยู่ ได้แก่ นิพพานของพระอรหันต์ที่ปรินิพพานแล้ว
                นิพพาน โดยการเข้าถึง หรือโดยสภาพที่บรรลุแล้ว มีลักษณะ 3 ประเภท คือ
                                1. สุญญตนิพพาน
                                2. อนิมิตตนิพาน
                                3. อัปปณิหิตนิพพาน
                1. สุญญตนิพพาน หมายความว่า ความเป็นอยู่ของพระนิพพานนั้นสูญสิ้นจากกิเลสและขันธ์ 5 ไม่มีอะไรหลืออยู่แล้ว ฉะนั้น จึงเรียกว่า สุญญตนิพพาน
                2. อนิมิตตนิพพาน หมายความว่า ความเป็นอยู่ของพระนิพพานนั้น ไม่มีนิมิตเครื่องหมาย รูปร่างสันฐาน สีสรรวรรณะอย่างใดเลย
                3. อัปปณิหิตนิพพาน หมายความว่า ความเป็นอยู่ของพระนิพพานนั้นไม่มีอารมณ์ที่น่าปรารถนาด้วยความโลภ และไม่มีตัณหาที่เป็นตัวต้องการอยู่ในนิพพานนั้น (พระสัทธัมมโชติกะ ธมฺมาจริย, หลักสูตรชั้นจูฬอาภิธรรมิกะตรี)
                ดังนั้น การพิจารณาเกี่ยวกับพระนิพพานที่เป็นภาวะลึกซึ้งนี้ และเมื่อกล่าวโดยวิเสสลักษณะ ของพระนิพพาน มีเพียง 3 ประเภท คือ ลักษณะ รส ปัจจุปัฏฐาน เท่านั้น ไม่มีปทัฏฐาน คือ
                        1. สนฺติ ลกฺขณา มีความสุขสงบจากเพลิงทุกข์ เป็น ลักษณะ
                        2. อจฺจุตรสา มีความไม่แตกดับ เป็น กิจ
                        3. อนิมิตฺตปจฺจุปฏานา ไม่มีนิมิตเครื่องหมาย เป็น อาการปรากฏ
                        ขั้นตอนหรือระดับแห่งการเข้าถึงพระนิพพาน ก็คือการแบ่งมรรคผลหรือ มรรค 4 ผล 4 ได้แก่
                                                โสดาปัตติมรรค                                                          โสดาปัตติผล
                                                สกทาคามิมรรค                                                          สกทาคามิผล
                                                อนาคามิมรรค                                                              อนาคามิผล
                                                อรหัตตมรรค                                                                อรหัตตผล
                        ฉะนั้น มรรคผลนั้นไม่ใช่นิพพาน แต่เป็นเพียงขั้นตอนหรือระดับแห่งการเข้าถึงนิพพานเท่านั้น

5. ประเภทและระดับของผู้บรรลุนิพพาน
                ผู้ปฏิบัติเพื่อเข้าถึงนิพพาน ที่ประสบผลสำเร็จบรรลุจุดหมายแล้ว ท่านจัดเข้าสังกัดในกลุ่มชนผู้เป็นสาวกที่แท้ของพระพุทธเจ้า ที่เรียกว่าสาวกสงฆ์ หรือ “อริยบุคคล” (อภิ.ปุ.36/18-20/141)หรือ “พระอริยะ” หรือพระเสขะ และพระอเสขะ เป็นต้น
พระเสขะ (ผู้ยังต้องศึกษา) หรือ สอุปาทิเสสบุคคล (ผู้ยังมีเชื้อคืออุปาทานเหลืออยู่) คือ
                                1.พระโสดาบัน ผู้ถึงกระแสคือเข้าสู่มรรค
                                2.พระสกทาคามี ผู้กลับมาสู่โลกนี้อีกครั้งเดียวก็จะกำจัดทุกข์ได้สิ้นเชิง
                                3.พระอนาคามี ผู้จะปรินิพพานในที่ผุดเกิดขึ้น ไม่เวียนกลับมาอีก
พระอเสกขะ (ผู้ไม่ต้องศึกษา) หรือ อนุปาทิเสสบุคคล (ผู้ไม่มีเชื้อคืออุปาทานเหลืออยู่เลย) คือ
                                4.พระอรหันต์ ผู้ควร (แก่ทักขิณาหรือการบูชาพิเศษ) หรือผู้หักกำแห่งสังสารจักรได้แล้ว เป็นผู้สิ้นอาสวะ(นิพพาน)ดังนั้น ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ผู้ที่เข้าถึง หรือมีสภาวะนิพพานเป็นอารมณ์ทั้งสิ้น ต่างกันโดยระดับของการเข้าถึงความพ้นจากทุกข์เท่านั้น

6.สรุปการเข้าถึงนิพพานต้องปฏิบัติตามแนวไตรสิกขา
                การศึกษาเชิงวิเคราะห์เรื่องนิพพานในสารัตถะในพระอภิธรรมปิฎกขอสรุปหลักการเข้าถึงนิพานตามแนวไตรสิกขาเป็นองค์ความรู้ใหม่ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา คือ
ศีลสิกขา การฝึกความประพฤติสุจริตทางกาย วาจา และอาชีวะ ได้แก่การนำองค์มรรคสัมมาวาจาสัมมากัมมันตะสัมมาอาชีวะว่าโดยสาระก็คือ การดำรงตนด้วยดี
จิตตสิกขา การฝึกปรือในด้านคุณภาพ และสมรรถภาพของจิต ได้แก่การนำองค์มรรคสัมมาวายามะสัมมาสติสัมมาสมาธิ ว่าโดยสาระก็คือ การฝึกให้มีจิตใจเข้มแข็ง มั่นคง ควบคุมตนเองได้ดี ผ่องใส เป็นสุข
ปัญญาสิกขา การฝึกปรือปัญญาให้เกิดความรู้ความเข้าใจสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริงจนถึงความหลุดพ้น มีใจเป็นอิสระ ผ่องใส เบิกบานโดยสมบูรณ์ ได้แก่การนำองค์มรรคสัมมาทิฎฐิสัมมาสังกัปปะว่าโดยสาระก็คือ การฝึกอบรมให้เกิดปัญญาบริสุทธิ์ที่รู้แจ้งชัดตามความเป็นจริง เข้าถึงความพ้นจาก รูป นาม ขันธ์ 5 โดยสิ้นเชิง (นิพพาน)
สรุปได้ว่าหากนำ หลักองค์ความรู้ที่ได้จากการศึกษาตามแนวไตรสิกขามาประพฤติปฏิบัติแล้วสามารถเข้าถึงภาวะที่เรียกว่า “สนฺติ ลกฺขณํ” ที่เป็นภาวะของ “นิพพาน” ย่องส่งผลตนเอง ครอบครัว สังคม และประเทศชาติสมบูรณ์อย่างลงตัว
                เมื่อกล่าวโดย สรุป พระอภิธรรมปิฎกไม่ได้กล่าวถึงนิพพานไว้เป็นข้อให้ได้ศึกษาโดยตรง หากแต่กระจายรายละเอียด ๆ ไปอยู่ในทั้งสามปิฎก ดังนั้น การศึกษานิพพานโดยตรงจากพระอภิธรรมจึงเป็นเรื่องยาก
                ผู้ศึกษาจึงต้อง ศึกษาจากทั้งสามปิฎกเพื่อจะทำความเข้าใจพื้นฐานในการเข้าถึงพระอภิธรรมปิฎก ซึ่งมีพระวินัย มีพระสูตรและพระอภิธรรม คัมภีร์อภิธรรมมัคถสังคหะ ของพระอนุรุทธาจารย์เพื่อให้เกิดความเข้าใจอภิธรรมมากยิ่งขึ้น
ในบทความนี้ศึกษาทั้งสามปิฎกโดยแบ่งเนื้อหาเป็นหัวข้อการศึกษาพระอภิธรรม คือ 1.วจนัตถะของนิพพาน 2.ภาวะแห่งนิพพาน 3.ภาวะของผู้บรรลุนิพพาน 4.ประเภทและระดับของนิพพาน 5.ประเภทและระดับของผู้บรรลุนิพพาน 6.สรุปการเข้าถึงนิพพานต้องปฏิบัติตามแนวไตรสิกขา

บรรณานุกรม
พระไตรปิฎก. ฉบับสยามรัฐ 45 เล่ม. เล่มที่ 1,4,12,15,20,29,30,36. กรุงเทพมหานคร : มหามกุฏราช
วิทยาลัย, 2473.
พระสัทธัมมโชติกะ ธมฺมาจริย, หลักสูตรชั้นจูฬอาภิธรรมิกะตรี. กรุงเทพมหานคร : ทิพยวิสุทธิ์ การ
พิมพ์.
พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต). พุทธธรรมฉบับปรับปรุงและขยายความ. พิมพ์ครั้งที่ 11 .

กรุงเทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2556