วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2557

การศึกษาเชิงวิเคราะห์นิพพานในพระอภิธรรมปิฎก
                แม่ชีสุภาพรรณ กลิ่นนาค

                การศึกษาเชิงวิเคราะห์นิพพานฉบับนี้จะกล่าวถึงนิพพานในพระไตรปิฎกทั้งสามปิฎกเพื่อความสมบูรณ์ในส่วนของเนื่อหาจึงขอนำนิพพานในพระสูตรเข้ามารวมอยู่ด้วย ไม่ว่าจะอยู่ในพระสูตรใด คำว่า นิพพาน ก็มีความหมายอย่างเดียวกัน คือ หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง (สนฺติ ลกฺขณํ) ดังนั้น จะกล่าวถึง วจนัตถะของนิพพาน ภาวะของนิพพาน ภาวะของผู้บรรลุนิพพาน ภาวะทางความประพิฤติหรือการดำเนินชีวิต รวมถึงประเภทและระดับของนิพพาน ลำดับท้าย คือ ประเภทและระดับของผู้บรรลุนิพพานสรุปการเข้าถึงนิพพานต้องปฏิบัติตามแนวไตรสิกขา เป็นลำดับไป

1. วจนัตถะของนิพพาน
นิพพานปรมัตถ์ นิพพาน = เป็นธรรมชาติที่สงบจากรูปนามขันธ์ 5 (สันติลักขณํ) การที่เป็นเช่นนี้เพราะเหตุว่า นิพพานเป็นธรรมชาติที่พ้นจากตัณหาอย่างเด็ดขาดนั้นเอง เพราะเหตุนี้พระอรหันต์ทั้งหลายเมื่อได้เข้าถึงซึ่งขันธ์ปรินิพพานแล้ว วัฏฏทุกข์ต่าง ๆ ที่เป็นการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นต้นเหล่านี้ ก็ดับสูญสิ้นทั้งหมดโดยไม่มีเหลือ ดังมีวจนัตถะว่า
วานโต นิกฺขนฺตนฺติ = นิพฺพานํ (วา)
ธรรมชาติใด ย่อมพ้นจากตัณหาที่ชื่อว่า วานะ อันเป็นเครื่องร้อยภพน้อยภพใหญ่ให้ติดต่อกันอย่างเด็จขาด ฉะนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อว่า นิพพาน (หรือ)
                นิพฺพายนฺติ สพฺเพ วฏฺฏทุกฺขสนฺตาปา เอตสฺมินฺติ = นิพฺพานํ (วา)
                วัฏฏทุกข์ และความเดือดร้อนต่าง ๆ ย่อมไม่มีในนิพพานนี้ ฉะนั้น ธรรมชาติที่เป็นที่ดับแห่งวัฏฏทุกข์ และความเดือดร้อนต่าง ๆ นี้ชื่อว่า นิพพาน (หรือ)
                นิพฺพายนฺติ อริยชนา เอตสฺมินฺติ = นิพฺพานํ
                พระอริยบุคคลทั้งหลายเมื่อถึงซึ่งขันธปรินิพพานแล้วย่อมดับสูญสิ้น คือ ไม่เกิด ไม่ตาย ฉะนั้น ธรรมชาติที่ทำลายการเกิด การตาย ให้สูญสิ้นหมดไปชื่อว่า นิพพาน
                คำว่า นิพพาน เมื่อตัดบทแล้วได้ 2 บท คือ นิ + วาน
                นิ             แปลว่า   พ้น         หรือ        ออก
                วาน        แปลว่า   ตัณหา
                เมื่อรวมบททั้งสองเข้าด้วยกันแล้วเป็น นิวาน แปลว่า พ้นจากตัณหา หรือออกจากตัณหา คำว่า นิวานะ เป็นนิพพานนั้น เป็นไปโดยนัยไวยากรณ์ คือ ว ตัวเดียวให้เป็น ว ว สองตัว (โดยภาวะ) ว ว สองตัว เปลี่ยนเป็น พ พ สองตัว ฉะนั้น จึงเป็น นิพพาน (พระสัทธัมมโชติกะ ธมฺมาจริย, หลักสูตรชั้นจูฬอาภิธรรมิกะตรี, หน้า 8.)

2. ภาวะแห่งนิพพาน
                เมื่ออวิชา ตัณหา อุปาทานดับไป นิพพานก็ปรากฏแทนที่พร้อมกัน ก็เกิดปัญญา เป็นวิชชาสว่างแจ้งขึ้น มองเห็นสิ่งทั้งหลายกล่าวคือโลกและชีวิตถูกต้องชัดเจนตามที่มันเป็นของมัน ไม่ใช่ตามที่อยากให้มันเป็น หรือตามอิทธิพลของสิ่งเคลือบแฝงกำบัง การมองเห็น การรับรู้ต่อโลกและชีวิตก็จะเปลี่ยนไป ความรู้สึกและท่าทีต่อสิ่งต่าง ๆ ก็จะเปลี่ยนไป ยังผลให้บุคลิกภาพเปลี่ยนไปด้วย สิ่งที่ปรากฏอยู่แต่ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น หรือแม้แต่นึกถึง เพราะถูกปิดกั้นคลุมบังเงาไว้ หรือเพราะมัวสาระวนเพลินอยู่กับสิ่งอื่น ก็ได้รู้ได้เห็นขึ้นเกิดเป็นความรู้เห็นใหม่ ๆ จิตใจเปิดเผยกว้างขวางไม่มีประมาณ โปร่งโล่ง เป็นอิสระ เป็นภาวะที่แจ่มใส สะอาด สว่าง สงบ ละเอียดอ่อน ประณีต ลึกซึ้ง ซึ่งผู้ยังมีอวิชา ตัณหา อุปาทาน ครอบงำใจอยู่อย่างที่เรียกว่า ปุถุชน นึกไม่เห็น คิดไม่เข้าใจ แต่เข้าถึงเมื่อใด ก็รู้เห็นประจักษ์แจ้งเองเมื่อนั้น ดังคำแสดงคุณลักษณะของนิพพานว่า
“นิพพาน อันผู้บรรลุเห็นได้เอง ไม่ขึ้นกับกาล เรียกให้มาดูได้ ควรนอมเอาเข้ามาไว้ อันวิญญูชน พึงรู้เฉพาะตน” (องฺ.ติก.20/495/202)

                การที่ปุถุชนไม่สามารถนึกเห็น ไม้อาจคิดให้เข้าใจภาวะของนิพพานได้นั้น เพราะธรรมดาของมนุษย์ เมื่อยังไม่รู้เห็นประจักษ์เองซึ่งสิ่งใด ก็เรียนรู้สิ่งนั้นด้วยอาศัยความรู้เก่าเป็นพื้นเทียบ คือ เอาสัญญาที่มีอยู่แล้วมากำหนด การไม่เคยรู้ไม้เคยเห็น หรือนึกไม่เห็น คิดไม่เข้าใจของมนุษย์เพียงอย่างเดียว จึงมิใช่เครื่องชี้ขาดว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่มี (พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรมฉบับปรับปรุงและขยายความ)
                เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ ก่อนที่จะทรงประกาศธรรม ได้ทรงมีพุทธดำริว่า
“ธรรมที่เราเข้าถึงแล้วนี้ ลึกซึ้ง เห็นยาก สงบ ประณีต ตรรกหยั่งไม่ถึง (ไม่อยู่ในวิสัยของตรรก) ละเอียดอ่อน เป็นวิสัยของบัณฑิตจะพึงทราบ”
“ธรรมเราเข้าถึงโดยยาก เวลานี้ ไม่ควรประกาศ, ธรรมนี้มิใช่สิ่งที่สัตย์ผู้ถูกราคะโทสะครอบงำจะรู้เข้าใจง่าย, สัตย์ทั้งหลายผู้ถูกราคะย้อมไว้ ถูกกองความมืด (อวิชชา) ห่อหุ้ม จักไม่เห็นภาวะที่ทวนกระแส ละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง เห็นยาก ละเอียดยิ่งนัก” (ม.มู.12/321/323)

                ธรรมในที่นี้ หมายถึง ปฏิจจสมุปบาท และนิพพาน (จะหมายอริยสัจจ์ 4 ก็ได้ใจความเท่ากัน) แต่ถึงแม้จะยากอย่างนี้ก็ปรากฏว่าพระพุทธเจ้าได้ทรงพยายามสั่งสอนชี้แจงอธิบายอย่างมากมาย ดังนั้น คำว่า นิพพานเป็นสิ่งที่ปุถุชนนึกไม่เห็น คิดไม่เข้าใจ จึงควรมุ่งให้เป็นคำเตือนเสียมากกว่า คือ เตือนว่าไม่ควรเอาแต่คิดสรางภาพและถกเถียงชักเหตุผลมาแสดงกันอยู่ จะเป็นเหตุให้สรางสัญญาผิด ๆ ขึ้นเสียเปล่า ทางที่ดีหรือทางที่ถูก ควรจะลงมือปฏิบัติให้เข้าถึงเพื่อรู้เห็นประจักษ์ชัดกับตนเอง เพราะถึงแม้ว่านิพพานนั้นเมื่อยังไม้รู้ไม่เห็น ก็นึกไม่เห็นคิดไม่เข้าใจ แต่ก็เป็นสิ่งที่รู้ได้เห็นได้เข้าถึงได้ เพียงแต่ว่ายากเท่านั้น
                เมื่อกล่าวถึงภาวะของนิพพาน มีคำแสดงภาวะนิพพานที่สำคัญที่สุดคำหนึ่งว่า “อสังขตะ” แปลว่า ไม่ถูกปรุงแต่ง คือไม่เกิดจากเหตุปัจจัยต่าง ๆ ปรุงแต่งขึ้น นิพพานเกิดจากเหตุ เพราะนิพพานเป็นผลของมรรค หรือการปฏิบัติตามมรรค เป็นเหตุแห่งการบรรลุนิพพาน

3. ภาวะของผู้บรรลุนิพพาน
                เนื่องด้วยคำสอนในพระพุทธศาสนาเน้นสิ่งที่ปฏิบัติได้จริง และการลงมือปฏิบัติทำให้รู้เห็นประจักษ์บังเกิดผลเป็นประโยชน์แก่ชีวิต หรือเน้นสิ่งที่ใช้ประโยชน์ได้ และการนำสิ่งนั้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ดังนั้น ในการพิจารณาเรื่องนิพพาน ภาวะของผู้บรรลุนิพพาน และประโยชน์ที่เป็นผลของการบรรลุนิพพาน
                ภาวะของผู้บรรลุนิพพาน เช่น อรหันต์ (ผู้ควร หรือผู้ไกลจากกิเลส) ขีณาสพ (ผู้สิ้นอาสวะแล้ว) อเสขะ (ผู้ไม่ต้องศึกษา, ผู้จบการศึกษาแล้ว หรือผู้ประกอบดั้วยอเสขธรรม) ปริกขีณภวสังโยชน์ (ผู้หมดสังโยชน์ที่เป็นเครื่องผูกมัดไว้ในภพ) วุสิตวันต์ หรือ วุสิตพรหมจรรย์ (ผู้อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว) อริยะ หรืออารยชน-แท้ (ผู้เจริญ, ผู้ประเสริฐ) (ขุ.จู.30/113/40)
                3.1 ภาวะทางปัญญา
                ลักษณะสำคัญที่เป็นพื้นฐานทางปัญญาของผู้บรรลุนิพพาน คือ การมองสิ่งทั้งหลายตามที่มันเป็น หรือเห็นตามความเป็นจริง เริ่มต้นตั้งแต่การรับรู้อารมณ์ทางอายตนะ ด้วยจิตที่มีท่าทีเป็นกลางและมีสติไม่หวั่นไหวถูกชักจูงไปตามความชอบใจ ไม่ชอบใจ สามารถตามรู้เห็นอารมณ์นั้น ๆ ไปตามสภาวะของมันตั้งแต่ต้นจนตลอดสาย ไม่ถูกความติดพัน ความข้องขัดขุ่นมัว หรือความกระทบกระแทกที่เนื่องจากอารมณ์นั้นฉุดรั้งหรือสะดุดเอาไว้ให้เขวออกไปเสียก่อน ต่างจากปุถุชนที่เมื่อรับรู้อารมณ์ใด มักไปสะดุดอยู่ตรงจุดหรือแง่ที่กระทบความชอบใจไม่ชอบใจ แล้วเกาะเกี่ยวพัวพันอยู่ตรงนั้น สร้างความปรุ่งแต่งที่เป็นทุกข์
                ภาวะที่ลึกซึ้งลงไปอีก คือ ปัญญาที่รู้เท่าทันสังขาร รู้สามัญลักษณะที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รู้เท่าทันสมมติบัญญัติ ไม่ถูกหลอกให้หลงไปตามรูปลักษณ์ภายนอกของสิ่งทั้งหลาย และยอมรับความจริงทุกด้าน มิใช่ติดอยู่เพียงแง่ใดแง่หนึ่ง ความรู้เห็นตามที่มันเป็น ผู้ที่จะตรัสรู้ได้ต้องเข้าใจทั้งสองส่วน คือ ส่วนที่น่าชื่นชม (อัสสาทะ) ส่วนที่เสีย หรือส่วนที่เป็นโทษ (อาทีนพ) และทางปลอดพ้น (นิสสรณะ) ของกาม ของโลก ของขันธ์ 5 มองเห็นส่วนดีว่าเป็นส่วนดี มองเห็นส่วนเสียว่าเป็นส่วนเสีย มองเห็นทางปลอดพ้นว่าเป็นทางปลอดพ้น แต่ที่ละกาม หายติดใจในโลก เลิกยึดขันธ์ 5 เสีย ก็เพราะมองเห็นทางปลอดพ้นเป็นอิสระ (นิสสรณะ) ซึ่งจะทำให้อยู่ดีมีสุขได้โดยไม่ต้องขึ้นต่อส่วนดีและส่วนเสียเหล่านี้ อีกทั้งเป็นการอยู่ดีมีสุขที่ประเสริฐกว่าประณีตกว่าอีกด้วย
                ลักษณะทางปัญญาของผู้เข้าถึงสัจจธรรมแล้ว คือ ไม่(ต้อง)เชื่อ ไม่(ต้อง)ศรัทธา หรือไม่ต้องอาศัยศรัทธา เรียกตามบาลีสั้น ๆ ว่า “อัสสัทธะ” ลักษระนี้ต่างกันอย่างตรงกันข้ามกับความไม่เชื่อ หรือความไม่ศรัทธา ตามความหมายสามัญขั้นต้น ซึ่งไม่รู้ไม่เห็น จึงไม่เชื่อ หรือไม่เลื่อมใสในตัวผู้พูดเป็นต้น จึงไม่ยอมเชื่อ แต่ในที่นี้ไม่ต้องเชื่อ เพราะรู้เห็นสิ่งนั้น ๆ แจ้งประจักษ์กับตนเองแล้ว รู้เองเห็นเองแล้วไม่ต้องรู้เห็นผ่านผู้อื่น ไม่ต้องอาศัยความรู้ผ่านผู้อื่นแล้ว จึงไม่ต้องเชื่อใครอีก ดังท่านได้อธิบายว่า
“เกี่ยวกับธรรมที่รู้แน่อยู่ด้วยตนเอง ปรัจักษ์กับตนเอง (ธอ) ไม่เชื่อต่อใคร ๆ อื่น ไม่ว่าจะเป็นสมณะหรือพราหมณ์ เทวดา มาร หรือ พรหม คือ ไม่เชื่อต่อใคร ๆ เกี่ยวกับธรรมที่รู้แน่อยู่เอง ประจักษ์กับตัวว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงมิใช่เป็นตัวตน เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยสังขารจึงมี ฯลฯ” (ขุ.ม.29/407/281)
               
3.2 ภาวะทางจิต
                ภาวะทางจิตที่สำคัยเป็นพื้นฐาน คือ ความเป็นอิสระ หรือเรียกตามคำพระว่าความหลุดพ้น ภาวะนี้เป็นผลสืบเนื่องจากปัญญา คือ เมื่อเห็นตามความเป็นจริง รู้เท่าทันสังขารแล้ว จิตจึงพ้นจากอำนาจครอบงำของกิเลส ดังท่านได้อธิบายว่า
“จิตที่ปัญญาปมงอมแล้ว ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย” หรือ “เมื่อเธอรู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้นแม้จากกามาสวะ จิตย่อมหลุดพ้นแม้จากภวาสวะ จิตย่อมหลุดพ้นแม้จากอวิชชาสวะ” (วิ.น.1/3/9)

                ลักษณะด้านหนึ่งของความเป็นอิสระ ในเมื่อไม่ถูกกิเลสครอบงำ ก็คือ การไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์ที่ยั่วยุ คือ อารมณ์เป็นที่ตั้งของราคะ หรือโลภะ โทสะและโมหะ เพราะจิตจิตปราศจากราคะ โทสะ โมหะแล้ว ยิ่งกว่านั้น ยังมีผลสืบเนื่องจากความปราศจากราคะ โทสะ โมหะต่อไปอีก
                และอีกด้านหนึ่งของความหลุดพ้นเป็นอิสระ ความไม่ติดในสิ่งต่าง ๆ ไม่ติดในกาม ไม่ติดในบุญบาป ไม่ติดในอารมณ์ต่าง ๆ อันจะเป็นเหตุให้ต้องรำพึงหวังอนาคต ดังท่านได้อธิบายว่า
“ผู้ถึงธรรม ไม่เศร้าโศกถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่ฝันเพ้อถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ดำรงอยู่ด้วยสิ่งที่เป็นปัจจุบัน ฉะนั้นผิวพรรณของท่านจึงผ่องใส, ส่วนชนผู้อ่อนปัญญาทั้งหลายเฝ้าฝันเพ้อถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง และหวนละห้อยถึงความหลังอันล่วงแล้ว จึงซูบซีดหม้นหมอง เสมือนต้นอ้อสด ที่เขาถอนทึ้งขึ้นทิ้งไว้กลางแสงแดด” (สํ.ส.15/22/7)

                ดังนั้น พระอรหันต์ไม่ใช้ปัญญาพิจารณากิจการงานภายนอก และไม่ใช้ประโยชน์จากความรู้เกี่ยวกับอดีต แต่ตรงกันข้าม เพราะอรหันต์มีภาวะทางจิตที่ปล่อดโปร่งจากอดีตและอนาคต และผู้บรรลุนิพพานเป็นสุข ผู้บรรลุนิพพานก็เป็นผู้มีความสุข แต่ผู้บรรลุนิพพานไม่ติดในความสุข ไม่ว่าชนิดใด ๆ รวมทั้งไม่ติดใจเพลิดนิพพานด้วย เมื่อรับรู้อารมณ์ต่าง ๆ จากภายนอก ทางตา ทางหู ทางจมูกเป็นต้น พระอรหันต์ยังคงเสวยเวทนาเหล่านั้น ทั้งที่เป็นสุขเป็นทุกข์ และไม่สุขไม่ทุกข์ เช่นเดียวกับคนทั่วไป แต่มีข้อพิเศษตรงที่ท่านเสวยเวทนาอย่างไม่มีกิเลสร้อยรัด ไม่ติดเพลินหรือข้องขัดอยู่กับเวทนานั้น
                3.3 ภาวะทางควมประพฤติหรือการดำเนินชีวิต
                ส่วนด้านการประพฤติทั่วไป ที่เรียกว่า ศลี คำกล่าวลักษณะของผู้บรรลุนิพพาน ทั้งนี้เพราะตามหลักแล้ว ศีล เป็นสิกขาหรือการศึกษาขั้นต้น พระอริยบุคคลย่อมเป็นผู้มีศีลสมบูรณ์แล้วตั้งแต่ชั้นพระโสดาบัน และเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ ที่ผู้เข้าถึงนิพพานบรรลุ ก็เป็นภาวะที่ทำให้ความทุศีลหรือความประพฤติเสียหายไม่มีเหลือต่อไป
                เหตุผลขั้นสุดท้ายที่ทำให้ผู้บรรลุนิพพานแล้ว ไม่ต้องคำนึงถึงประโยชน์ของตนเอง หรือห่วงใยเรื่องของตนเอง สามารถทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น หรือบำเพ็ญกิจแห่งกรุณาได้เต็มที่ ก็เพราะเป็นผู้ทำประโยชน์ตนเสร็จสิ้นแล้ว การดำเนินชีวิตของพระอรหันต์ ทั้งด้วนกิจการงาน และด้วนความประพฤติส่วนตัว มุ่งเพื่อประโยชน์ของพหุชน และคำนึงถึงความเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับชุมชนรุ่นหลัง และเพื่อประโยชน์สุขแก่เทวะและมนุษย์ทั้งหลาย
                กล่าวโดยสรุป ภาวะทางปัญญา ภาวะทางจิต และภาวะทางความประพฤติและการดำเนินชีวิต ของผู้บรรลุนิพพาน คือ ปัญญาที่เรียกจำเพราะว่า วิชชา ความหลุดพ้นเป็นอิสระที่เรียกว่าวิมุตติ และกรุณาที่เป็นพลังแผ่ปรีชาญาณออกไปทำให้ผู้อื่นพลอยได้วิชชา และถึงวิมุตติด้วย

4. ประเภทและระดับของนิพพาน
                การแบ่งประเภทนิพพานที่ทราบกันทั่วไป โดยการณูปจารนัย คือกล่าวโดยปริยายแห่งเหตุแล้วแบ่งนิพพานเป็น 2 คือ
                1. สอุปาทิเสสนิพพาน
                2. อนุปาทิเสสนิพพาน
                สิ่งที่เป็นเกณฑ์แบ่งประเภทในที่นี้คือ “อุปาทิ” ซึ่งอธิบายว่า ได้แก่สภาพที่ถูกกรรมกิเลสถือครอง หรือสภาพที่ถูกอุปาทานยึดไว้มั่น หมายถึงเบ็ญจขันธ์ (ขันธ์ 5) คือ
                1. สอุปาทิเสสนิพพาน หมายความว่า นิพพานที่เป็นไปกับขันธ์ 5 คือ วิบาก และกัมมชรูป ที่เหลือจากกิเลสทั้งหลาย ได้แก่ นิพพานของพระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่
                2. อนุปาทิเสสนิพพาน หมายความว่า นิพพานที่ไม่มีขันธ์ 5 คือ วิบาก และกัมมชรูปเหลืออยู่ ได้แก่ นิพพานของพระอรหันต์ที่ปรินิพพานแล้ว
                นิพพาน โดยการเข้าถึง หรือโดยสภาพที่บรรลุแล้ว มีลักษณะ 3 ประเภท คือ
                                1. สุญญตนิพพาน
                                2. อนิมิตตนิพาน
                                3. อัปปณิหิตนิพพาน
                1. สุญญตนิพพาน หมายความว่า ความเป็นอยู่ของพระนิพพานนั้นสูญสิ้นจากกิเลสและขันธ์ 5 ไม่มีอะไรหลืออยู่แล้ว ฉะนั้น จึงเรียกว่า สุญญตนิพพาน
                2. อนิมิตตนิพพาน หมายความว่า ความเป็นอยู่ของพระนิพพานนั้น ไม่มีนิมิตเครื่องหมาย รูปร่างสันฐาน สีสรรวรรณะอย่างใดเลย
                3. อัปปณิหิตนิพพาน หมายความว่า ความเป็นอยู่ของพระนิพพานนั้นไม่มีอารมณ์ที่น่าปรารถนาด้วยความโลภ และไม่มีตัณหาที่เป็นตัวต้องการอยู่ในนิพพานนั้น (พระสัทธัมมโชติกะ ธมฺมาจริย, หลักสูตรชั้นจูฬอาภิธรรมิกะตรี)
                ดังนั้น การพิจารณาเกี่ยวกับพระนิพพานที่เป็นภาวะลึกซึ้งนี้ และเมื่อกล่าวโดยวิเสสลักษณะ ของพระนิพพาน มีเพียง 3 ประเภท คือ ลักษณะ รส ปัจจุปัฏฐาน เท่านั้น ไม่มีปทัฏฐาน คือ
                        1. สนฺติ ลกฺขณา มีความสุขสงบจากเพลิงทุกข์ เป็น ลักษณะ
                        2. อจฺจุตรสา มีความไม่แตกดับ เป็น กิจ
                        3. อนิมิตฺตปจฺจุปฏานา ไม่มีนิมิตเครื่องหมาย เป็น อาการปรากฏ
                        ขั้นตอนหรือระดับแห่งการเข้าถึงพระนิพพาน ก็คือการแบ่งมรรคผลหรือ มรรค 4 ผล 4 ได้แก่
                                                โสดาปัตติมรรค                                                          โสดาปัตติผล
                                                สกทาคามิมรรค                                                          สกทาคามิผล
                                                อนาคามิมรรค                                                              อนาคามิผล
                                                อรหัตตมรรค                                                                อรหัตตผล
                        ฉะนั้น มรรคผลนั้นไม่ใช่นิพพาน แต่เป็นเพียงขั้นตอนหรือระดับแห่งการเข้าถึงนิพพานเท่านั้น

5. ประเภทและระดับของผู้บรรลุนิพพาน
                ผู้ปฏิบัติเพื่อเข้าถึงนิพพาน ที่ประสบผลสำเร็จบรรลุจุดหมายแล้ว ท่านจัดเข้าสังกัดในกลุ่มชนผู้เป็นสาวกที่แท้ของพระพุทธเจ้า ที่เรียกว่าสาวกสงฆ์ หรือ “อริยบุคคล” (อภิ.ปุ.36/18-20/141)หรือ “พระอริยะ” หรือพระเสขะ และพระอเสขะ เป็นต้น
พระเสขะ (ผู้ยังต้องศึกษา) หรือ สอุปาทิเสสบุคคล (ผู้ยังมีเชื้อคืออุปาทานเหลืออยู่) คือ
                                1.พระโสดาบัน ผู้ถึงกระแสคือเข้าสู่มรรค
                                2.พระสกทาคามี ผู้กลับมาสู่โลกนี้อีกครั้งเดียวก็จะกำจัดทุกข์ได้สิ้นเชิง
                                3.พระอนาคามี ผู้จะปรินิพพานในที่ผุดเกิดขึ้น ไม่เวียนกลับมาอีก
พระอเสกขะ (ผู้ไม่ต้องศึกษา) หรือ อนุปาทิเสสบุคคล (ผู้ไม่มีเชื้อคืออุปาทานเหลืออยู่เลย) คือ
                                4.พระอรหันต์ ผู้ควร (แก่ทักขิณาหรือการบูชาพิเศษ) หรือผู้หักกำแห่งสังสารจักรได้แล้ว เป็นผู้สิ้นอาสวะ(นิพพาน)ดังนั้น ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ผู้ที่เข้าถึง หรือมีสภาวะนิพพานเป็นอารมณ์ทั้งสิ้น ต่างกันโดยระดับของการเข้าถึงความพ้นจากทุกข์เท่านั้น

6.สรุปการเข้าถึงนิพพานต้องปฏิบัติตามแนวไตรสิกขา
                การศึกษาเชิงวิเคราะห์เรื่องนิพพานในสารัตถะในพระอภิธรรมปิฎกขอสรุปหลักการเข้าถึงนิพานตามแนวไตรสิกขาเป็นองค์ความรู้ใหม่ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา คือ
ศีลสิกขา การฝึกความประพฤติสุจริตทางกาย วาจา และอาชีวะ ได้แก่การนำองค์มรรคสัมมาวาจาสัมมากัมมันตะสัมมาอาชีวะว่าโดยสาระก็คือ การดำรงตนด้วยดี
จิตตสิกขา การฝึกปรือในด้านคุณภาพ และสมรรถภาพของจิต ได้แก่การนำองค์มรรคสัมมาวายามะสัมมาสติสัมมาสมาธิ ว่าโดยสาระก็คือ การฝึกให้มีจิตใจเข้มแข็ง มั่นคง ควบคุมตนเองได้ดี ผ่องใส เป็นสุข
ปัญญาสิกขา การฝึกปรือปัญญาให้เกิดความรู้ความเข้าใจสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริงจนถึงความหลุดพ้น มีใจเป็นอิสระ ผ่องใส เบิกบานโดยสมบูรณ์ ได้แก่การนำองค์มรรคสัมมาทิฎฐิสัมมาสังกัปปะว่าโดยสาระก็คือ การฝึกอบรมให้เกิดปัญญาบริสุทธิ์ที่รู้แจ้งชัดตามความเป็นจริง เข้าถึงความพ้นจาก รูป นาม ขันธ์ 5 โดยสิ้นเชิง (นิพพาน)
สรุปได้ว่าหากนำ หลักองค์ความรู้ที่ได้จากการศึกษาตามแนวไตรสิกขามาประพฤติปฏิบัติแล้วสามารถเข้าถึงภาวะที่เรียกว่า “สนฺติ ลกฺขณํ” ที่เป็นภาวะของ “นิพพาน” ย่องส่งผลตนเอง ครอบครัว สังคม และประเทศชาติสมบูรณ์อย่างลงตัว
                เมื่อกล่าวโดย สรุป พระอภิธรรมปิฎกไม่ได้กล่าวถึงนิพพานไว้เป็นข้อให้ได้ศึกษาโดยตรง หากแต่กระจายรายละเอียด ๆ ไปอยู่ในทั้งสามปิฎก ดังนั้น การศึกษานิพพานโดยตรงจากพระอภิธรรมจึงเป็นเรื่องยาก
                ผู้ศึกษาจึงต้อง ศึกษาจากทั้งสามปิฎกเพื่อจะทำความเข้าใจพื้นฐานในการเข้าถึงพระอภิธรรมปิฎก ซึ่งมีพระวินัย มีพระสูตรและพระอภิธรรม คัมภีร์อภิธรรมมัคถสังคหะ ของพระอนุรุทธาจารย์เพื่อให้เกิดความเข้าใจอภิธรรมมากยิ่งขึ้น
ในบทความนี้ศึกษาทั้งสามปิฎกโดยแบ่งเนื้อหาเป็นหัวข้อการศึกษาพระอภิธรรม คือ 1.วจนัตถะของนิพพาน 2.ภาวะแห่งนิพพาน 3.ภาวะของผู้บรรลุนิพพาน 4.ประเภทและระดับของนิพพาน 5.ประเภทและระดับของผู้บรรลุนิพพาน 6.สรุปการเข้าถึงนิพพานต้องปฏิบัติตามแนวไตรสิกขา

บรรณานุกรม
พระไตรปิฎก. ฉบับสยามรัฐ 45 เล่ม. เล่มที่ 1,4,12,15,20,29,30,36. กรุงเทพมหานคร : มหามกุฏราช
วิทยาลัย, 2473.
พระสัทธัมมโชติกะ ธมฺมาจริย, หลักสูตรชั้นจูฬอาภิธรรมิกะตรี. กรุงเทพมหานคร : ทิพยวิสุทธิ์ การ
พิมพ์.
พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต). พุทธธรรมฉบับปรับปรุงและขยายความ. พิมพ์ครั้งที่ 11 .

กรุงเทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2556

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น